หุ้นเครือ CP หลุมหลบภัยชั้นดี

30 พ.ค. 2566 | 22:02 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ หุ้นเครือ CP หลุมหลบภัยชั้นดี โดย...เจ๊เมาธ์

*** ในช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่ม CP เช่น CPALL CPF TRUE และ MAKRO ถือเป็นหุ้นปราบเซียน เนื่องจากเป็นกลุ่มหุ้นที่อ่านเกมและอ่านทิศทางได้ยาก โดยในส่วนของ MAKRO CPALL และ CPF ซึ่งเริ่มจะมีปัญหาภายหลังจากการซื้อเอา Lotus เข้ามาอยู่ในร่มของ CPALL และ CPF ก่อนที่จะขายให้ MAKRO โดยการที่ทาง MAKRO จ่ายคืนเป็นหุ้นเพิ่มทุน จนเกิดการไขว้หุ้นกันไปมาจนมึน และในท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็น MAKRO CPALL หรือ CPF ต่างก็มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น กำไรและยอดขายเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้กำไรต่อหุ้นปรับลงมาอย่างมีนัยสำคัญ 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของ TRUE ซึ่งล่าสุดได้ควบรวมกิจการกับ DTAC แต่ราคาหุ้นกลับปรับลดลงมาตลอดทาง เนื่องจากผลการดำเนินงานยังขาดทุน รวมไปถึงมีแนวโน้มว่ายังจะขาดทุนต่อไป ไม่ต่างไปจากก่อนที่จะควบรวมกิจการแต่อย่างใด และที่ว่ามานี้ยังไม่รวมไปถึงพายุการเมือง ที่กำลังกดดันหุ้นในสังกัดตระกูลใหญ่ ที่กำลังถูกเพ่งเล็งว่าผูกขาดทางธุรกิจ จนนักลงทุนบางส่วนทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยง
 
อย่างไรก็ตาม อย่าได้ลืมว่าหุ้นเครือ CP เป็นหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานทั้งสิ้น โดยเฉพาะยังเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดี จนไม่ว่าจะราคาร่วงลงหนักแค่ไหน แต่ก็ยังน่าสนใจ และยิ่งถ้าลงไปมากๆ ความน่าสนใจก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ใครจะบอกว่า หุ้นเจ้าสัวเล่นยาก แต่เจ๊เมาธ์บอกเลยว่าถึงแม้อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ถ้าจะใช้หุ้นเครือ CP เป็นหุ้นหลุมหลบภัยก็ถือว่าดีมากถึงมากที่สุดเช่นกัน

*** น่าจับตาหุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่ เช่น KBANK BBL SCB KTB รวมไปถึงธนาคารขนาดกลางและเล็ก จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เนื่องจากในการประชุมรอบวันที่ 31 พ.ค. 66 มีแนวโน้มสูงมากที่ กนง. อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ซึ่งก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปบ่อยๆ ว่าในทุก 0.25% ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้กำไรของ BBL และ KTB เปลี่ยนแปลงราว 10% ส่วน KBANK และ SCB อาจจะขยับขึ้นประมาณ 7-8% ซึ่งผลลัพธ์ของการขึ้นดอกเบี้ยก็ชัดเจนขึ้นมาตั้งแต่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ซึ่งก็ทำให้หุ้นธนาคาร ถือเป็นตัวเลือกในการลงทุนที่ดีมากในจังหวะของดอกเบี้ยขาขึ้น เพียงแต่เมื่อต่างก็รู้ว่า หุ้นธนาคารดี ก็จะทำให้เกิดการซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร และเมื่อมีกำไรก็จะขายออกมาเพื่อล็อคกำไรเป็นเงินสดเช่นกัน
 
ดังนั้น ถ้าใครชอบหุ้นกลุ่มนี้ อาจจะต้องแบ่งไม้เข้าสะสม รวมถึงหาจังหวะเข้าเมื่อราคาหุ้นย่อตัวลง เพื่อให้ได้ของดีราคาถูก รวมไปถึงการยืนระยะให้ได้ ถ้าทำแบบนี้ได้แล้วยังไม่เห็นกำไร...มันก็คงจะแปลกเกินไปแล้วเจ้าค่ะ
 

*** น่าสนใจว่า ALPHAX กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญรอบใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เคยเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก OCEAN มาเป็น ALPHAX โดยการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ จะเริ่มต้นจากการที่บอร์ดบริหารได้มีมติให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) รวมไปถึงเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) ในวงเงินราว 4,000 ล้านบาท เพื่อดึงเอา “เอกพัน พะพิทัก” มหาเศรษฐีลาว และพันธมิตรเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ใช่แค่เพียงโครงสร้างผู้ถือหุ้น เนื่องจากมีโอกาสสูงมากที่แนวทางการดำเนินของ ALPHAX ก็มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งอีกไม่นานก็คงจะได้รู้กัน และถ้ามีอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมเข้ามา เจ๊เมาธ์จะไม่พลาดที่จะเอาข้อมูลใหม่ๆ มาอัพเดทให้แฟนๆ ของเจ๊ได้รับรู้อย่างแน่นอน

*** ดูเหมือนว่านักลงทุนไทยจะลืมอะไรได้ง่าย หรือไม่ก็เป็นเพราะมีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยบ่อยครั้งจนไม่รู้ว่า จะจัดระเบียบความทรงจำแบบไหนก่อน แบบไหนหลัง ถึงจะดี อย่างล่าสุดหุ้นฉาวอย่าง MORE ของ “เฮียม๊อ” ก็สามารถกลับเข้ามาดำเนินการซื้อขายเป็นปกติ โดยที่ไม่มีเรื่องของการติดแคชฯ รวมไปถึงไม่มีการพูดถึงเรื่องของการซื้อขายหุ้นแบบผิดปกติที่เคยเกิดขึ้นมากวนใจ จนนักลงทุนบางรายแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า มีอะไรเคยเกิดขึ้นกับหุ้นตัวนี้บ้าง อย่าลืมว่าถึงแม้สินทรัพย์ของผู้ถือหุ้นใหญ่บางส่วนจะถูกอายัด แต่จำนวนหุ้นที่เคลื่อนไหวได้ในตลาดฯ ก็ไม่ได้ถูกอายัดตามไปด้วย และเมื่อสามารถซื้อขายได้เป็นปกติ นั่นก็หมายความว่า มันนี่เกมการดันราคาหุ้นก็อาจเกิดขึ้นอีก เมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามแนะนำว่าถ้าไม่ยุ่งได้จะดีที่สุด...หุ้นแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,892 วันที่ 1 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566