KEY
POINTS
ระบบการเงินของสหรัฐฯและฝั่งตะวันตกแสดงความอ่อนแอต่อเนื่อง ดังเห็นได้จากการล้มละลายของ Silicon Valley Bank, Credit Suisse และการล่มสลายของ FTX ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงข้อจำกัดและความเปราะบางของสถาบันการเงินในประเทศพัฒนาแล้ว
การจัดการโรคระบาด COVID-19 ในประเทศพัฒนาแล้วที่ลงทุนด้านสุขภาพสูงได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากนโยบายที่เน้นเสรีภาพส่วนบุคคลมากกว่าการเสียสละเพื่อส่วนรวม ขณะที่เอเชียเน้นการ lockdown เข้มงวดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า
โรคระบาด COVID-19 เกิดปรากฏการณ์คู่ขนานระหว่างโลกาภิวัตน์กับการยึดติดพื้นที่ (localisation) ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งการแบ่งแยก (polarisation) ของระเบียบโลก
บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ" ตอนที่ 2 ความเสื่อมถอยระบบการเงินตะวันตก - COVID-19 ตัวเร่งโลกแบ่งขั้ว โดย ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการบรรยาย ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 67 วันที่ 16 มกราคม 2568
ความอ่อนแอของระบบการเงินของสหรัฐฯปรากฏติดตามมาอีกครั้งในปี 2023 เมื่อธนาคาร S&L ชื่อ Silicon Valley Bank (SVB) ล้มละลาย นับเป็นการล้มละลายของธนาคารครั้งใหญ่สุดตั้งแต่ที่ธนาคาร S&Lชื่อ Washington Mutual ล้มลงเมื่อปี 2008
ธนาคาร SVB มีความหมายต่อ tech start-up ที่ Silicon Valley สูงมาก เพราะได้ ให้เงินกู้แก่บริษัทเริ่มต้นใหม่เหล่านี้เป็นหลัก SVB ล้มลงเพราะในช่วงเฟื่องฟูของบริษัทเทคโนโลยี ได้มีการนำ เงินฝากจำนวนสูงมากไปลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาว เช่น ตั๋วเงินคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธบัตรการจำนอง (mortgage bonds) ที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อธนาคารกลางของสหรัฐฯมีการปรับอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานสูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อช่วงหลังโรคระบาด COVID-19
ในเวลาใกล้ๆ กันนั้น ด้านยุโรปก็มีสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาเช่นกัน นำไปสู่การล้มละลายของธนาคารที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ คือ Credit Suisse ที่ในที่สุดทางการต้องบังคับให้ธนาคารใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่คือธนาคาร UBS เข้ามาโอบรับหุ้น Credit Suisse นับเป็นการล้มละลายที่มีนัยสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน ของฝ่ายประเทศที่พัฒนาแล้ว
ความเสื่อมถอยของระบบการเงิน ในสหรัฐฯและฟากตะวันตกอาจจะผูกโยงกับการเกิดขึ้นของระบบ crypto currencies ที่มาในรูปรูปแบบต่างๆกัน แม้ระบบการเงิน digital จะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ก็มีปัญหามากในเรื่องที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรที่ทำให้ระบบขาดเสถียรภาพสูงมาก
ในปี 2022 ก็เกิดการล่มสลายของบริษัท FTX ซึ่งเป็น cryptocurrency exchange ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ โดยเจ้าของสถาบันที่เป็นนักการเงินอายุน้อย ชื่อ Samuel Bankman-Fried ได้โกงบริษัทของตนเอง และแอบนำเงินฝากของประชาชนผู้ลงทุนที่บริษัท นำไปใช้ส่วนตัวเป็นจำนวนกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ ถึงแม้ว่าบริษัทที่มีธุรกิจ cryptocurrency อื่นๆ ไม่ได้ล้มตามไปด้วย
แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้เป็นเครื่องเตือนสติที่สำคัญว่า ระบบนี้ยังขาดความน่าเชื่อถือ โดยไม่มีข้อสงสัย และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นบทเรียนสำคัญที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของระบบสถาบันการเงินของประเทศที่พัฒนาแล้วใน ฟากตะวันตกอย่างชัดเจน
ความน่าเชื่อถือและความเข้มแข็งของระเบียบโลกที่ถูกกำหนดโดยฟากตะวันตก โดยมีสหรัฐฯเป็นผู้นำ นอกจาก จะเริ่มเสื่อมลงจากด้านระบบการเงินแล้ว ยังเห็นได้ชัดชัดเจนในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 ระหว่างปี 2020-2022 ประเทศที่พัฒนาแล้วลงทุนในการรักษาดูแลสุขภาพอย่างสูงโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 8 ของรายได้ประชาชาติ แต่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากกว่าประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาที่ลงทุนในด้านสุขภาพเพียงร้อยละ 4-5 ของรายได้ประชาชาติ
ภาพของสภาพผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจำนวนแออัดมากมายในโรงพยาบาลที่ New York ที่ล้นหลามออกมานอก โรงพยาบาล และภาพของแพทย์พยาบาลที่ขาดชุดกันเชื้อโรค PPE ต้องใช้ถุงพลาสติก เก็บขยะมาปรับเป็นชุดสวมป้องกันเชื้อโรคแทน นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีปรากฏให้โลกเห็นในช่วงที่ทุกประเทศต้องต่อสู้กับโรคระบาดด้วยการ lockdown
สหรัฐฯและยุโรปเชื่อในวิธีการต่อต้านโรคระบาดด้วยวิธีให้ทุกคนติดเชื้อได้หมด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันร่วม (herd immunity) ทำให้มีผู้คนจำนวนมากมายที่ติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าที่จำเป็น โดยเฉพาะการที่กรณีของผู้สูงอายุจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงมาก ปัญหาเหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับด้านประเทศในเอเชียตะวันออกจะปรากฏชัดว่า ประสิทธิภาพและผลในการจัดการกับโรคระบาดมีจุดอ่อนอย่างชัดเจน ตามประเด็นดังต่อไปนี้
ความพยายามของสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกในการกล่าวอ้างว่าการเริ่มต้นของโรคระบาดมาจากเอเชียและประเทศจีน เป็นการปัดความรับผิดชอบ แทนที่จะมีการเริ่มต้นด้วยการร่วมกันแก้ปัญหาไม่ว่าโรคระบาดจะเริ่มมาจากภูมิภาคใด
แม้ว่าประเทศพัฒนาแล้วจะมีการลงทุนในด้านสุขภาพสูง แต่ความพร้อมในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ ปรากฏว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก
ประชาชนไม่ยอมรับมาตรการที่เข้มงวดในการต่อสู้กับโรคระบาด (และแตกต่างจากชาวเอเชีย) ที่ต้องการมี เสรีภาพส่วนบุคคลมากกว่าที่จะยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม เช่น ปฏิเสธการสวมหน้ากากอนามัยการฉีดวัคซีน ป้องกันโรค และไม่ต้องการให้มีการติดตาม tracing ผู้ติดเชื้อ
สหรัฐฯไม่พอใจในการทำงานขององค์การอนามัยโลก ทั้งที่องค์การมีบทบาทสำคัญในการประสานงานด้านโรคระบาดทั่วโลก และร่วมมือในการจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศที่ยากจนที่ไม่สามารถมีงบประมาณเข้าไป จองซื้อวัคซีนตั้งแต่เริ่มต้นออกมาใหม่ได้
ประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้วรวมถึงสหรัฐฯไม่ได้คำนึงถึงปัญหาของประเทศที่ยากจนในการจัดหาวัคซีน และได้เข้าไปจองซื้อวัคซีนจนหมดตลาดในช่วงแรก ทำให้ประเทศยากจนได้รับยาวัคซีนล่าช้าและไม่เพียงพอนับว่าไม่มีการแสดงออกของความห่วงใยต่อสถานการณ์โลกที่ประเทศมหาอำนาจควรจะปฏิบัติ
ประเทศในเอเชียยอมให้มีการ lockdown ที่มีระยะยาวและเข้มงวด โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่า เศรษฐกิจ (จีนใช้มาตรการสุดโด่งของ zero-covid) ส่วนสหรัฐฯให้ความสำคัญกับการเปิดประเทศ และยุติการ lockdown โดยเร็วที่สุด ผลคือในกรณีของเอเชียจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประชากร ส่วนในกรณีของสหรัฐฯความเสียหายทางชีวิตประชาชนจะสูงกว่า แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเร็วกว่า
บทเรียนจากการแพร่ขยายอย่างรวดเร็วของโรคระบาด COVID-19 ชี้ให้เห็นถึงผลเสียของกระบวนการโลกาภิ วัตน์ที่มีการติดต่อคมนาคมอย่างสะดวกทั่วโลก ที่ช่วยทำให้โรคระบาดสามารถเดินทางข้ามโลกได้อย่างง่ายดาย แต่กระบวนการโลกาภิวัตน์ก็ยังไม่มีระบบการบริหารระดับโลก (global governance) ร่วมกันที่สามารถจะต่อสู้กับข้อเสียของกระบวนการนี้ได้
แต่ในทางกลับกันโรคระบาดก็มีผลทำให้เกิดการสื่อสารกันทาง online มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นการเสริมกระบวนการโลกาภิวัตน์อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่การ lockdown ทำให้เกิดการยึดติดอยู่กับพื้นที่ (localisation) มากขึ้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่เร่งให้มีการเกิดขึ้นของการแบ่งแยก (polarisation) ของระเบียบโลกเร็วยิ่งขึ้น