ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย” กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ

02 ก.ค. 2564 | 07:51 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ค. 2564 | 17:43 น.

ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เขียนบทวิเคราะห์ ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย หลังข้าวไทยทั้งระบบนับวันเดินถอยหลัง โดยเฉพาะการส่งออกที่ลดน้อยถอยลงทุกวัน

 

ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย”  กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ

เกษตรกรไทยมี 8 ล้านครัวเรือน มีจำนวนเกษตรกร 9.3 ล้านคน  (ก.เกษตรฯ เม.ย. 2563) เป็นครัวเรือนเกษตรกรที่ปลูกข้าว 3.7 ล้านครัวเรือน  (สศก.) คิดเป็น 46% ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งประเทศ จำนวนเกษตรกรน่าจะมี 50% ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดเช่นกัน (9.3 ล้านราย เทียบกับเวียดนามที่มีเกษตรกรรายย่อยในบริเวณแม่น้ำแดงทางตอนเหนือ สัดส่วน 18%  และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางใต้ สัดส่วน 52% รวม 15 ล้านราย) มูลค่าการส่งออกข้าวปีละมากกว่า 1 แสนล้านบาท แต่มีมูลค่าการส่งออกข้าวลดลงอย่างต่อเนื่อง ปี 2554 ส่งออกข้าวมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท ปี 2563 เหลือ 1 แสนล้านบาท

ผมวิเคราะห์ว่าไทยถึง “เวลาปฏิรูปข้าวไทย” ไม่รีบทำ โอกาสข้าวไทยจะยิ่งถดถอยไปอีกมากกว่านี้ ประเด็นที่ไทยต้องรีบทำคือ 1.ปรับการทำตลาดข้าวไทยในตลาดโลก เพราะการส่งออกข้าวไทยไปตลาดโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีความผันผวน ข้าวไทยเคยส่งออกสูงสุด 10 ล้านตันในปี 2560 หลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปี 2563 ไทยส่งออกข้าวรวมเหลือ 4.9 ล้านตันเท่านั้น ซึ่งหากไปดูแต่ละตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่มี “การนำเข้าข้าวไทยลดลงในช่วง 3 ปีหลัง” ผลดังกล่าวส่งผลทำให้ข้าวไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวโลก จากเดิมที่ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่ง 29% ของปริมาณการส่งออกข้าวโลก ตามด้วยเวียดนาม (21%) และอินเดีย (15%) ในปี 2554

แต่หลังนั้น 10 ปีผ่านไป ส่วนแบ่งข้าวไทยในตลาดโลกเหลือเพียง 14% โดยอินเดียครองสัดส่วนข้าวโลกเป็น อันดับ 1 ที่ 40% ในปี 2563 และในปี 2564 USDA คาดการณ์ว่าอินเดียก็ยังคงส่งออกอันดับ 1 ของโลกเช่นเดิมที่ 15.5 ล้านตัน เวียดนามอันดับ 2 ที่ 6.4 ล้านตัน และประเทศไทยเป็นอันดับที่ 3

ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย”  กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ

“ทำไมข้าวไทยถึงเจอสถานการณ์แบบนี้” ผมมี 2 เหตุผลหลักคือ มีจำนวนประเทศคู่แข่งส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเวียดนาม แต่เป็นข้าวจาก “อินเดีย จีน กัมพูชา” ที่กำลังมาแรงและ “ตีตลาดข้าวไทย” ในตลาดโลก และราคาข้าวไทยในตลาดโลกแพงกว่าข้าวประเทศคู่แข่งเฉลี่ย 50-80 เหรียญต่อตัน (ข้าวขาว 5% และ 25%) หรือแพงกว่า 1,500 -2,000 บาทต่อตัน (ระหว่างปี 2559-2563) ประเทศที่ซื้อข้าวไม่ได้ซื้อที่ละตัน แต่ซื้อหลายแสนตัน คิดเป็นเงินที่เค้าต้องจ่ายเพิ่มก็มหาศาล

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา ราคาส่งออกข้าวเวียดนามสูงกว่าข้าวไทยและอินเดีย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่ราคาข้าวเวียดนามสูงกว่าไทย (เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น 5-7 เหรียญต่อตัน)  เป็นเพราะ 1.เงินบาทอ่อน เห็นได้จากระหว่างธันวาคม 2563 ถึงมิถุนายน 2564 เงินบาทอ่อนค่า 6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในขณะที่ค่าเงินด่องเวียดนามต่อดอลลาร์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีการวิเคราะห์ถึงปัจจัยกำหนดการส่งออกข้าวไทยขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน 26% ขึ้นกับคู่แข่ง 29% ขึ้นกับ และขึ้นกับพฤติกรรรมผู้ซื้อต่างประเทศ 90% (The Impact Factors of Thai Jasmine Rice Export to International Market, Thanongsak Chuaykerd)

2.คุณภาพข้าวเวียดนามดีวันดีคืนและตอบสนองความต้องการของลูกค้า (ซึ่งเป็นนโยบายรัฐบาลเวียดนาม) ทำให้ผู้ซื้อยอมจ่ายในราคาที่สูง 3.มีการส่งมอบข้าวได้รวดเร็วในช่วงโควิดทำให้ตลาดต่างประเทศประทับใจ ในขณะที่ราคาข้าวหอมมะลิไทยอยู่ที่ 900-1,000 เหรียญต่อตัน ส่วนข้าวหอมเวียดนาม 500-600 เหรียญต่อตัน (ปี 2563) “ถูกกว่าครึ่ง ๆ” นอกจากราคาที่ถูกกว่าแล้วคุณภาพข้าวหอมเวียดนามใกล้เคียงกับไทย เห็นได้จากบริษัท “Prizemart” ของฮ่องกงมีการจ้างบริษัทในยุโรปทดสอบข้าวหอมมะลิไทยกับเวียดนามพบว่า “มีความใกล้เคียงกัน 96%”

ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย”  กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ

หันมาดูข้าวไทยในตลาดอาเซียนกันบ้าง พบว่าในตลาดอินโดนีเซีย อินเดียและเวียดนามยังครองตลาดนำเข้าข้าวอันดับ1 และ 2 ตามด้วย “ข้าวไทยอันดับ 3” ในขณะที่ตลาดนำเข้าข้าวมาเลเซีย “ข้าวไทยเป็นอันดับที่ 5” ตามหลังข้าวจาก เวียดนาม อินเดีย ปากีสถานและเมียนมา ส่วนตลาดฟิลิปปินส์ “ข้าวไทยอยู่อันดับ 3” รองจากเวียดนาม เมียนมา

ที่น่าสนใจคือในตลาดจีน “ข้าวไทยรั้งอันดับ 5” ตามหลังข้าวเมียนมา เวียดนาม ปากีสถาน กัมพูชา ในตลาดอิหร่าน “ข้าวไทยอยู่อันดับ 3” ตามหลังข้าวอินเดียและปากีสถาน ที่น่าติดตามคือ “ข้าวจากเมียนมา ปากีสถานและกัมพูชา” ออกมาแข่งขันในตลาดข้าวโลกมากขึ้น

 

2.รื้อระบบการผลิตข้าวไทย ตั้งแต่ประเด็น ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่า ขาดพันธุ์ที่มีศักยภาพ และขาดพันธุ์ที่ตอบสนองผู้บริโภคต่างประเทศที่เปลี่ยนไปโดยหันมาบริโภคข้าวนุ่มมากขึ้น และข้าวสุขภาพมากขึ้น ขาดเงินวิจัย (ไทยใส่เงิน 200 ล้านบาทในการวิจัย แต่เวียดนามใส่เงิน 3 พันล้านบาท ส่วนอินเดีย จีน และญี่ปุ่นใส่เงินวิจัยข้าวมากกว่า 1 พันล้านเหรียญต่อปี)  ความพอเพียงของน้ำ และในอนาคตจะประสบปัญหาหนักจากภาวะโลกร้อนจากภาวะแห้งแล้ง

ผมขอยกตัวอย่าง กรณีข้าวเวียดนามมีการปรับตัวอย่างมาก เพราะความเสี่ยงข้าวเวียดนามในอนาคตทั้งความแห้งแล้ง น้ำทะเลหนุน และน้ำเค็ม หนึ่งทางออกของข้าวเวียดนามคือพัฒนาพันธุ์ที่หลากหลาย เช่น “SHPT3” ที่ทนน้ำท่วม โรคและแมลง ให้ผลผลิต 7.5 ตัน/เฮกตาร์หรือ 1.2 ตันต่อไร่ ในขณะที่พันธุ์ข้าว “SHPT15” ทนน้ำเค็ม ผลผลิต 1 ตันต่อไร่ บทความในวารสาร “MPDI” แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาพันธุ์ข้าวเวียดนามในระดับต้นน้ำทำอยู่ 4 เรื่องคือ 1.เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ปัจจุบันเฉลี่ยข้าวเวียดนาม 7 ตันต่อเฮกตาร์ 2.ให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.มีคุณภาพสูง และ 4.ข้าวสุขภาพ ซึ่งข้าวทั้ง 4 ประเภทนี้ต้องมีผลผลิตต่อไร่เกิน 1 ตัน

ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย”  กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ

3.แปรรูปผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ในห่วงโซ่การผลิตข้าวไทย แบ่งออกเป็นข้าวนึ่งสัดส่วน 18% และข้าวสารทุกประเภท (ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาวและข้าวเหนียว) สัดส่วน 82% ซึ่งข้าวทั้งสองประเภทยังแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มน้อย โดยข้าวนึ่งแปรรูปเพียง 1% และข้าวสารทุกประเภทแปรรูป 34% ซึ่งส่วนใหญ่แปรรูปเป็นแป้งข้าว ข้าวอบกรอบ และก๋วยเตี๋ยว ขณะนี้ “ผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าว” (ส่งออกปีละ 1,600 ล้านบาท) ได้รับความนิยมมากในตลาดเกาหลี ออสเตรเลีย อิตาลี ฮ่องกงและสิงคโปร์ ส่วน “ผลิตภัณฑ์แป้งข้าว” (ส่งออกปีละ 1,200 ล้านบาท) มีความต้องการมากในตลาด สหรัฐฯ ฮ่องกง ออสเตรเลีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ และ “ผลิตภัณฑ์ข้าวอื่นๆ” (ส่งออกปีละ 2 พันล้านบาท) ตลาดหลักที่มีอนาคตคือ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ เยอรมันและนิวซีแลนด์  สิ่งที่ควรผลักดันคือ “ผลิตภัณฑ์ข้าวสุขภาพ” ที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากในขณะนี้

4.ยกระดับมาตรการเกษตร คือ แนวทางการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) เพราะเปอร์เซ็นต์ทั้งประเทศยังต่ำมาก  ปัจจุบันตัวเลขของ GAP พบว่า พื้นที่ปลูกข้าว 63 ล้านไร่ ได้ GAP เพียง 0.4% มะพร้าวได้ GAP เพียง 1.5% และทุเรียนได้ GAP 11% ตัวเลขเหล่านี้ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบว่าเราต้องไปแข่งขันในอาเซียนและตลาดโลกที่เค้าต้องการใบรับรอง GAP เป้าหมายคือ “GAP ต้อง 50% ของสินค้าเกษตร”

นอกจากนี้ต้องทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพ สินค้าเกษตรอินทรีย์จึงเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขระบุว่าประเทศไทยสามารถผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้จำนวนเท่าไรและกี่เปอร์เซ็นต์ ผมประเมินว่าไม่น่าจะเกิน 1% ผมสามารถแบ่งระดับการทำเกษตรอินทรีย์ของไทยออกเป็น 3 ระดับ 1.เกษตรอินทรีย์โดยตนเอง สร้างมาตรฐานเอง 2.เกษตรอินทรีย์โดยชุมชนเกษตรกรที่รับรองกันเอง และ 3. อินทรีย์ประเทศไทย (Organic Thailand) ทั้งสามประเภทที่เรามีอยู่ขณะนี้ในตลาดพรี่เมี่ยมอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและยุโรป ยังไม่ยอมรับ และทำให้วันนี้เกษตรกรไทยและผู้ประกอบการบางกลุ่มจึงต้องเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งมาตรฐานออแคนิกสากล เช่น IFoam และ USDA Organic เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อต้องการขายให้ได้ในตลาดโลก

 5. สร้างกลุ่มคลัสเตอร์เพื่อการค้าและการลงทุน โดยเน้นการสร้างเครือข่ายเกษตรกรกับ SME Start Up เพื่อรวมกันแปรรูปข้าวที่ใช้นวัตกรรมเพื่อต้นทุนการผลิตและ สร้างนวัตกรรมในการแปรรูป เน้นตามรสนิยมตามที่ตลาดต้องการ เน้นความหลากของหลายผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ 6.ศูนย์อัจริยะข้าว (Rice Intelligence Center) หรือ ศูนย์การตลาดอัจริยะ (Market Intelligence Center) ที่ครอบคลุมข้อมูลข้าวทุกด้านทั้งของไทยและตลาดต่างประเทศทั่งคู่แข่งและคู่ค้า

ได้เวลา “ปฏิรูปข้าวไทย”  กับ 6 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งลงมือทำ