โหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ยืดเยื้อ 3-4 รอบจบ

13 ก.ค. 2566 | 00:00 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ยืดเยื้อ 3-4 รอบจบ โดย...กาแฟขม

*** นาทีนี้ ประเทศไทยยังไม่ได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แม้ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะบอกด้วยความมั่นใจมี ส.ว. สนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้วร่วม 100 คน ล้วนมาจากการประเมินเพื่อสร้างกระแสกดดันไปที่ ส.ว. แต่หากพิจารณาจากพลพรรคส้มรายอื่นๆ รวมทั้งการเดินสายเคลื่อนไหวกับเอฟซีของ พิธา ที่เดินสายถี่ยิบไปในกิจกรรมกล่าวขอบคุณคะแนนเสียงประชาชน ที่เทให้ก้าวไกลในการเลือกตั้ง พร้อมทั้งปลุกระดมมวลชนเอฟซีให้เป็นที่มั่นล้อมกรอบค้ำยัน สร้างกระแสกดดัน เป็นการแสดงอาการสั่นไหว คอการเมืองจึงเก็งกันว่า ส.ว.ยังสนับสนุนไม่ถึง 65 เสียง อันเป็นเสียงที่ต้องการไปรวมกับ 8 พรรครัฐบาลให้เกิน 376 เสียง

*** 13 ก.ค.นี้ ได้เพียงแค่การโหวตนัดแรกของรัฐสภา ในการหาตัวนายกฯเท่านั้น นั่นหมายถึงการโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ต้องนำไปสู่การโหวตครั้งที่ 2 แน่นอน 8 พรรครัฐบาลคงเสนอชื่อเดิมไปโหวตกันอีกครั้งในรอบที่ 2 โดยทอดเวลาไปหลังการโหวตครั้งแรก 1 สัปดาห์ ให้โอกาสไปล็อบบี้พูดคุยหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจากสมาชิกรัฐสภา แต่ต้องดูข้อกฎหมาย ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เสนอชื่อเดิม แบบเดิมได้หรือไม่ ขัดหรือแย้งกฎหมายแม่บท หรือ ข้อบังคับอะไรหรือไม่ด้วย

 

*** ถ้าดูจากวิธีการที่เดินกันอยู่ขณะนี้ เสียงที่จะหาจาก ส.ว.ให้ได้ 65 เสียงคงจะยากพอสมควร ประเมินกันนาทีนี้ มีเสียงประกาศหนุนแรกเริ่มเดิมทีอยู่ที่ประมาณ 20 เสียง แต่แกว่งไปแกว่งมา บางวันลดลงเหลือ 15 เสียง บางวันเพิ่มเป็น 18 เสียง ถ้าสถานการณ์ และปัจจัยแวดล้อมไม่มีอะไรเปลี่ยน ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยน เมื่อมุมที่ยืนยังคงเป็นแบบเดิม นั่นหมายถึงรอบที่ 2 ก็ไม่ผ่าน นำไปสู่การโหวตรอบที่ 3 ที่จะมีการเปลี่ยนชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ขึ้นมาในโครงสร้างรัฐบาล 8 พรรคการเมืองที่จับขั้วกันอยู่ก่อน ถ้ายังไม่ผ่าน ก็ต้องปรับจัดโครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ และตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีใหม่ ที่มีโอกาสจะไปถึงรอบที่ 4 ในการได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อันนี้เป็นเส้นทางการเดินของนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่น่าจะลากไปถึงสิ้นเดือน ก.ค.

 

*** นี่ก็ยังไม่สำเร็จ ในการเลือกหรือ หาตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ขึ้นมานำทัพ หลังหัวหน้าและทีมกรรมการบริหารพรรคชุดเดิม ต้องพ้นไปหลังพ่ายศึกเลือกตั้ง ประเมินสถานการณ์หลังจากล่มในคราวการประชุม เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2566 มี 2 กลุ่มหลัก กลุ่มต้องการให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคหวนคืนสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรคอีกรอบ กับกลุ่มที่รักษาการเลขาธิการพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้การสนับสนุน เมื่อยังไม่นั่งลงพูดคุยกัน ทบทวนข้อผิดพลาดบกพร่องที่ผ่านมา วางยุทธศาสตร์พรรค ปรับกลยุทธ์กันใหม่ ก็เป็นที่น่าเสียดายกับพรรคการเมืองเก่าแก่อยู่คู่การเมืองไทย สังคมไทยมานานร่วม 77 ปี กลับไร้ซึ่งอนาคต จากพรรคการเมืองระดับชาติ อาจเป็นแค่พรรคแบบท้องถิ่นนิยม ถึงวันนี้คนประชาธิปัตย์ ต้องถอยมานั่งคิดทบทวน และเลิกยึดติดกรอบคิดเดิมๆ หลักเกณฑ์เดิมที่ขาดความยืดหยุ่น ซึ่งควรเลือกเอาแค่บางเรื่องที่ดีไว้ พร้อมเติมความสดใหม่ แนวคิดใหม่ คนรุ่นใหม่ที่จะต้องปรับทั้งกระบวนกันได้แล้ว มิฉะนั้น พรรคจะหนีจากการถูกดิสรัปไม่ได้

*** นี่ก็มหากาพย์สำหรับการโกง การตกแต่งบัญชี ครั้งใหญ่ในตลาดทุนไทยกรณีบริษัท STARK ประเมินมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ไม่นับรวมชื่อเสียง ความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย ที่ประเมินมูลค่ายาก ในแง่ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นที่ลองสั่นคลอนลงแล้ว ปัญหาสารพัดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และประเมินเป็นเม็ดเงินยากมาก ในห้วงเวลานี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีคำสั่งยึด อายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดที่ถูกกล่าวโทษ รวม 10 ราย เป็นเวลา 180 วัน และห้ามมิให้ผู้กระทำผิดออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน

*** คำสั่งอายัดรวมๆ ไม่ระบุรายการ และรายบัญชี ทำให้บริษัทลูกอีก 4 แห่ง ทั้ง บจก.เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) (PDITL) , บจก.อดิสรสงขลา (ADS) , บจก.เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง (APDE) และ บจก.ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล (TCI) มีพนักงานรวมร่วม 4,000 คน ปั่นป่วนไปด้วย ว่ากันว่าจะทำอะไร รับออเดอร์ คำสั่งซื้อ-ขาย ต้องขออนุญาตก่อนทั้งหมด อันนั้นจะทำให้การดำเนินงานของบริษัทลูกมีปัญหาตามมาได้ กรณีความล่าช้าในการส่งของตามออเดอร์ อันนี้จะทำให้มูลค่าของบริษัทลูกที่ทำงานตามจริง จะมีมูลค่าด้อยลงไปอีกตามประสิทธิภาพงาน ปลายทางจะไม่เหลืออะไร จึงอาจไปเข้าทางนักลงทุนที่รอเสียบซื้อกิจการก็เป็นได้ น่าจะต้องพิจารณากรณีอายัดให้ชัดๆ ลงไปหน่อยก็จะเป็นการดี เผื่อมีรายได้มาคืนหนี้นักลงทุนบ้าง

 

*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3904 ระหว่างวันที่ 13-15 ก.ค.2566 โดย...กาแฟขม