คาดการณ์ปัญหาเผือกร้อนในอนาคต

09 มี.ค. 2568 | 22:30 น.

คาดการณ์ปัญหาเผือกร้อนในอนาคต คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่องปรากฎการณ์ต่างๆ ณ ชายแดนไทย-เมียนมา หลังจากนโยบาย “American First” ของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้แผลงฤทธิ์ ด้วยการตัดความช่วยเหลือของ United States Agency for International development หรือที่เรียกว่า USAID และตัดทอนนโยบายเงินทุนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแรงงาน (Bureau of Democracy, Human Rights and Labor : DRL) และเงินทุนสนับสนุนสื่อมวลชนและประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy : NED) ก็ถูกระงับการช่วยเหลือแก่ประเทศเมียนมา ทำให้เกิดปัญหาในค่ายผู้อพยพที่อยู่ตามชายแดนไทย-เมียนมา ที่มีมากถึง 9 แห่ง

ซึ่งมีผู้อพยพลี้ภัยมากถึงเกือบ 9 แสนกว่าคน ที่ต้องตกที่นั่งลำบากมากขึ้น เพราะเสบียงอาหารและยารักษาโรคเริ่มขาดแคลน อีกทั้งน้ำดื่มที่สะอาดเพียงพอต่อการบริโภค ก็เริ่มมีปัญหา กอปรกับสิ่งที่ตามมาจากนโยบาย “สามตัด” ที่ทางการไทยร่วมกับรัฐบาลจีนและรัฐบาลเมียนมา เพื่อใช้ในการปราบปรามกลุ่มคอลเซ็นเตอร์หรือกลุ่มอาชญากรทางเทคโนโลยีเริ่มได้เห็นผล 

วันนี้ผมจะขอคาดเดาถึงผลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ให้พวกเราได้วิเคราะห์ดู ส่วนจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? เชื่อว่าทุกคนคงไม่สามารถมั่นใจได้ว่า จะเป็นจริงหรือเปล่าได้ เพียงแต่ระวังไว้ดีกว่าไม่มีการระวังครับ

ก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเห็นข่าวในหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เรื่อง “คุณหมอชายแดน” หรือหมอเบียร์ พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม อายุรแพทย์โรคติดเชื้อแห่งโรงพยาบาลแม่สอด ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออก หลังจากถูกคำสั่งให้ดูแลผู้ป่วยวัณโรค และโรค HIV ในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านแม่หละ ซึ่งใบลาออกดังกล่าวจะมีผลในวันที่ 31 มีนาคมนี้เป็นต้นไป

ผมเองก็คุ้นเคยกับคุณหมอเบียร์ เข้าใจและเห็นใจท่านมากๆ เข้าใจถึงความลำบากกับงานที่หนักมากๆ ของบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ไม่เพียงแต่จะต้องรับมือกับประชาชนชาวไทยเท่านั้น ยังมีชาวเมียนมาที่ข้ามมาใช้บริการของโรงพยาบาลแม่สอด ที่เป็นโรงพยาบาลขนาด 450 เตียง แต่มีแพทย์ประจำการเพียง 80 ท่านเท่านั้น ทำให้ต้องรองรับประชากรที่เพิ่มเข้ามาจากเพื่อนบ้านด้วย

สรุปคือ แพทย์หนึ่งท่าน ต้องดูแลผู้ป่วยถึง 5,000-8,000 คน ในขณะที่ประเทศไทยเรา แพทย์หนึ่งท่านต้องดูแลผู้ป่วย 2,000 คน และในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ผมเคยลงพื้นที่และประสานงานร่วมกับหมอเบียร์มาก่อน ก็ได้รับฟังเรื่องราวภาระหน้าที่ของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของที่นั่นมา ก็ได้แต่เพียงให้กำลังใจเท่านั้นครับ พอได้ยินข่าวการลาออกของคุณหมอ จึงค่อนข้างจะตกใจครับ เพราะท่านได้ทำงานเพื่อพี่น้องชาวแม่สอดมาร่วม 20 ปี และเป็นที่เคารพรักของชาวแม่สอดเป็นอย่างยิ่ง จึงมีความรู้สึกเสียดายมากๆ เลยครับ

กลับมาที่นโยบายรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ต่อนะครับ การตัดการช่วยเหลือของรัฐบาลทรัมป์ ผมเชื่อว่าจะส่งผลให้ความยากลำบากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเงินสำรองระหว่างประเทศของเมียนมาที่มีไม่มาก จนทำให้รัฐบาลเมียนมาต้องออกนโยบายกีดกันการนำเข้า ด้วยการกำหนดให้ต้องมีเงินรายได้ที่มาจากการส่งออก หรือที่เรียกว่า “Earning Money” ก่อน จึงจะขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้าได้ ดังนั้นการตัดการช่วยเหลือต่างๆ ย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีปัญหามากยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างปัญหาให้แก่เศรษฐกิจ ก็คือปัญหาของความไม่สงบภายใน อย่างที่เราๆทราบกันอยู่ ซึ่งการปราบปรามกลุ่มอาชญากรทางด้านเทคโนโลยีที่อยู่ตามชายแดน ที่มีการร่วมมือกันของทั้งสามประเทศ ก็ถือว่าเป็นการช่วยทุ่นแรงให้รัฐบาลเมียนมาไปมาก เพราะกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่ม ก็เป็นเสมือนหนามปักเท้ารัฐบาลเมียนมาอยู่ เมื่อมีกองกำลังของอีกสองประเทศเข้ามาช่วย ย่อมเป็นผลดีต่อประเทศเมียนมาอย่างดี

แต่ผลกระทบของการใช้นโยบาย “สามตัด” เพื่อการจัดการกับกลุ่มสแกมเมอร์ “แม้จะเจ็บแต่ก็จบ” สิ่งที่ตามมาอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น คือจะมีกลุ่มแรงงานชาวเมียนมา ที่จะหลบหนีเข้ามาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยเรามากขึ้น อีกทั้งกลุ่มผู้อพยพรายใหม่ๆ ก็จะทะลักเข้ามาด้วยเช่นกัน นี่คือผลพวงของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ

ปัญหาที่จะตามมากับการอพยพเข้ามาใหม่ ก็คือปัญหาของความขาดแคลนเงินสนับสนุนที่ถูกตัดขาดไป ซึ่งก็จะตามมาด้วยการทะลักเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มที่อยู่ในศูนย์อพยพไม่ได้ แน่นอนว่าปัญหาสังคมที่อาจจะตามมา ก็จะเริ่มมีมากขึ้นเช่นกัน  เพราะการอพยพเข้ามาของแรงงานผิดกฎหมายชาวเมียนมา เป็นปัญหาที่สลับซับซ้อนและยาวนาน ที่เป็นเรื่องทำให้ไทยเราต้องปวดศีรษะกับปัญหานี้มาโดยตลอด แม้ว่าจะมีเหตุผลอันเนื่องมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ความไม่สงบของเมียนมาเอง และความไม่มั่นคงทางการเมืองในเมียนมา จึงทำให้ประชาชนของเขาจำนวนมาก ต้องมองหาช่องทางเดินทางไปหางานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งที่ไทยเรามีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ แต่การข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายทำให้เกิดปัญหาหลายด้าน เช่น การแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงาน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การค้ามนุษย์ ปัญหาทางสังคม และการสร้างภาระต่อระบบสาธารณสุข จนกระทั่งนำมาซึ่งการลาออกจากงานของบุคคลากรทางการแพทย์นั่นเองครับ

นอกจากนี้ยังมีปัญหาผู้อพยพรายใหม่ๆ ที่ไม่มีการรับรองสถานะ ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ และไร้ความคุ้มครองทางกฎหมาย การจัดการปัญหานี้ จึงต้องมีการปรับปรุงนโยบายของภาครัฐ ในการตรวจสอบแรงงานข้ามชาติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรัดกุมมากขึ้น เพื่อให้แรงงานเหล่านี้สามารถทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และลดปัญหาการอพยพผิดกฎหมายในอนาคต

นอกจากปัญหาการอพยพของแรงงานผิดกฎหมายแล้ว ยังมีปัญหาการอพยพหนีภัยสงคราม และการเกณฑ์ทหารจากเมียนมา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เนื่องจากการปะทะกันระหว่างรัฐบาลทหารกับกลุ่มต่อต้านในเมียนมา ที่สร้างความไม่สงบเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนชาวเมียนมาจำนวนมาก ต้องหลบลี้หนีภัยเข้ามาที่ไทยเรา

ปัญหานี้ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ซับซ้อน ในด้านการดูแลและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เนื่องจากผู้หลบหนีจากความไม่สงบหรือหนีการเกณฑ์ทหาร ส่วนใหญ่มักจะไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง หรือไม่มีสถานะทางกฎหมาย ทำให้ตกเป็นเหยื่อของการเอารัดเอาเปรียบ ทั้งในด้านการทำงาน การเข้าถึงบริการสาธารณะ และการถูกคุมขังหรือผลักดันออกจากประเทศ

นี่คือปัญหาที่แม้จะยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้เห็น และรัฐบาลคงจะต้องจับตาเฝ้ามอง ก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะรุมเร้าเข้ามา จนกลายเป็นเผือกร้อนในอนาคตนะครับ