อย่าซํ้าเติมภาระค่าครองชีพด้วยการขึ้นค่าไฟฟ้า

20 ก.ค. 2567 | 23:00 น.

อย่าซํ้าเติมภาระค่าครองชีพด้วยการขึ้นค่าไฟฟ้า : บทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4011

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาแถลงถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ระดับ 87.2 ปรับตัวลดลงจาก 88.5 ในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 มีปัจจัยจากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้า กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ จากปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้การบริโภคในประเทศชะลอลง

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการ MEs ประสบปัญหาสภาพคล่อง ขาดเงินหมุนเวียนในกิจการ และเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งจากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งว่า ในช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย. 2567) มีเอสเอ็มอีมีการปิดกิจการย่างต่อเนื่อง ไปแล้วราว 667 แห่ง

ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 93.4 ปรับตัวลดลง จาก 95.7 ในเดือนพฤษภาคม 2567 ตํ่าสุดในรอบ 33 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 จากความกังวลต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่า 400 บาททั่วประเทศ แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

ผลการสำรวจดังกล่าว ได้ชี้ให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังหัวทิ่ม การบริโภคภายในประเทสแทบหยุดชะงัก จากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจต่างจังหวัดเงียบเหงามาก ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น รัฐบาลไม่มีมาตรการออกมากระตุ้นกำลังซื้อ เฝ้ารอแต่ความหวังจากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงระดับรากหญ้าได้อย่างชัดเจน

มิหนำซํ้าในเดือนกันยายนปีนี้ จะต้องมาแบกกับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอีก จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอีกราว 47 สตางค์หน่วยต่อ หรือขยับขึ้นไปเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย จะกระทบกันทั่วหน้า สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่หาเสียงไว้

ส.อ.ท.ออกมาให้ความเห็นว่า หากรัฐบาลไม่มีมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าไว้ คงจะได้เห็นบรรดาผู้ประกอบการทยอยกันปิดโรงงานตามมาอีก เพราะต้องโดนภาระต้นทุนจากการปรับค่าแรงและค่าไฟฟ้าที่เป็นต้นทุนหลักพุ่งสูงขึ้น จนรับภาระไว้ไม่ไหว

สิ่งสำคัญเวลานี้รัฐบาล คงต้องเร่งหาแนวทางลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ประสานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่า จะเป็นกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กระทรวงการคลัง มานั่งหารือ ร่วมบริหารต้นทุนแบกรับภาระปรับขึ้นค่าไฟฟ้าครั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชน

ไม่ว่าจะเป็นการนำงบประมาณ หรือ งบกลางเข้ามาช่วยอุดหนุน การชะลอเรียกเก็บค่าเอฟที คืนให้กับ กฟผ. จำนวน 16,416 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27.23 สตางค์ต่อหน่วย และชะลอการชำระคืนค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกินจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติ ที่เรียกเก็บ(AFGAS ) จำนวน 15,084 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย ให้กับปตท.ออกไปก่อน ซึ่งน่าจะเป็นทางออก ลดความเดือนร้อนให้กับประชาชนได้