ARIN ปั้นหุ้นก่อนเลือกตั้ง?

28 มิ.ย. 2565 | 23:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

***  JASIF ถือได้ว่าเป็นหุ้นที่มีปันผลดีมาก (เฉลี่ย 9-10% ต่อปี) แต่กลับถูกเทขายออกมาโดยใช้ข้ออ้างที่บอกกันว่า นักลงทุนกังวลกับผลตอบแทนที่จะลดลงราว 30% ในอีก 3 ปีข้างหน้า (2568) ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นการรีบกังวลมากจนเกินเหตุ ขณะที่มีข่าวที่ว่า เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เทขายออกมา โดยหวังผลตอบแทนระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งถ้าหากจับประเด็นจะพบว่า การเทขายของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ดูจะมีน้ำหนักมากกว่า เนื่องจากในท้ายที่สุดราคาหุ้นของ JASIF ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาจนราคาหุ้นค่อยๆ กลับเข้าไปหาฐานราคาเดิม ซึ่งเป็นรูปแบบของการกดราคาเพื่อเอาของนั่นเอง 
 

อย่างไรก็ตาม...อย่าได้ลืมไปว่า JASIF คือหนึ่งในหุ้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของ พิชญ์ โพธารามิก ซึ่งขยับราคาในจังหวะที่ JAS JTS และ MONO เริ่มแผ่วแรงลง ดังนั้น หากจะมีใครบางคนต้องการถ่ายโอนเงินไปหาสินทรัพย์ ที่การันตีผลตอบแทนเช่น JASIF เพื่อพักรอเวลาก็น่าจะดี อย่างน้อยที่สุดถึงแม้ว่าตัวหุ้นในวงจรเหล่านี้อาจจะบอบช้ำบ้าง...แต่เมื่อพักผ่อนเพียงพอ ท้ายที่สุดก็ต้องกลับไปหาหุ้นตัวเดิมอยู่ดีนั่นเอง

*** แม้จะรู้ว่า CBG เล่นราคาอยู่ในกรอบเพียงแค่ 100-110 บาท มาตั้งแต่ต้นปีโดยที่ไม่ข้ามไปไกลกว่านี้ แต่ส่วนตัวแล้วเจ๊เมาธ์ก็ยังคงมองว่า CBG จะสามารถก้าวข้ามเส้นราคานี้ไปได้ในไม่ช้า ซึ่งหากพิจารณาตามมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีมุมมองเดียวกันว่า ผลการดำเนินงานมีทิศทางที่เป็นบวกจากตลาดทั้งในจีนและ CLMV จะทำให้รายได้ดีขึ้น 


รวมไปถึงต้นทุนที่ลดลงตามราคาอลูมิเนียมจะทำให้กำไรของ CBG ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นผลดีกับราคาหุ้นของ CBG ในระยะยาว ดังนั้น ถ้าใครชอบก็จับตาดูให้ดี บอกเลยว่าถ้าข้าม 110 บาทไปได้ หุ้นอย่าง CBG มีโอกาสไปต่อได้อีกนะคะ หรือถ้าไม่คิดมาก...จะเกาะขอบล้อเล่นอยู่ในกรอบเดิมที่ 100-110 บาท ก็น่าจะพอได้เหมือนกันเจ้าค่ะ

*** ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประเทศไทยกำลังเข้าใกล้การเลือกตั้งใหญ่หรืออย่างไร จึงทำให้มีหุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมือง หลายตัวเริ่มขยับราคา ดูอย่าง ARIN ซึ่งปรากฏชื่อของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เพื่อ นายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งถือหุ้นใหญ่อยู่ 13.33% เป็นตัวอย่างก็น่าจะพอได้ เพราะทั้งที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 ขาดทุนอยู่ถึง 54 ล้านบาท รวมถึงยังมีการเพิ่มทุนอีก 360 ล้านหุ้น (นักลงทุนทั่วไป 120 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิม 180 ล้านหุ้น และนักลงทุนแบบเจาะจงอีก 60 ล้านหุ้น) หุ้นตัวนี้ก็ยังสามารถดันราคาขึ้นมาถึงเท่าตัว (100%) โดยใช้เวลาเพียงแค่เดือนนิดๆ ขณะที่หากนับเวลาตั้งแต่ต้นปี ก็จะเห็นว่าหุ้นตัวนี้ปรับราคาขึ้นมาแล้วกว่า 2 เท่าตัวเลยทีเดียว 
 

ที่เจ๊เมาธ์อ้างถึง ARIN ไม่ได้หมายความว่า คุณสุชาติ จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดันราคาหุ้น เพื่อเตรียมเงินไว้สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ คุณสุชาติ ทำด้วยการให้กองทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นแทนตัว คุณสุชาติ เองเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เจ๊เมาธ์กำลังจะบอกก็คือตอนนี้เริ่มมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองขยับตัวอย่างน่าสนใจหลายตัวนะคะ ส่วนจะเป็นใครกำลังระดมเงินหรือไม่ หรือจะเอาเงินไปทำอะไร...เจ๊เมาธ์ไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ อิอิอิ
 

*** เจ๊เมาธ์ยืนยันว่าท้ายที่สุดหุ้นในกลุ่ม PTT จะเป็นกลุ่มที่จะรอดอยู่ได้ในภาวะของเศรษฐกิจตกต่ำ ที่เกิดจากทั้งเงินเฟ้อ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงไปได้ในเร็ววัน เพราะการลงทุนใหม่ๆ อย่างธุรกิจ EV ที่มีทั้งสถานีชาร์จ โรงงานแบตเตอรี่ โรงงานประกอบรถยนต์ EV รวมไปถึงธุรกิจสุขภาพที่มีทั้งยาและเครื่องมือแพทย์ ล้วนแล้วแต่เป็นเมกะเทรนด์ที่จะสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กลุ่ม PTT ไปอีกนาน 


ขณะที่หากมองกันที่ธุรกิจพลังงานในกลุ่มไม่ว่าจะเป็น PTTEP PTTGC TOP IRPC GPSC แม้ว่าอาจจะมีกำไรมากบ้าง...น้อยบ้างตามจังหวะ แต่ท้ายที่สุดทั้งหมด ต่างก็เป็นธุรกิจทำเงินที่ทำให้กลุ่ม PTT มีสภาพคล่องจนแทบจะล้นระบบ ดังนั้น บอกเลยว่าหุ้นในกลุ่ม PTT ดีที่สุด ถ้าจะถือยาว...เจ๊เมาธ์แนะนำเลยเจ้าค่ะ  


*** แม้ว่าราคาหุ้นของ AOT จะขยับขึ้นมายืนเหนือราคา 70 บาท โดยไม่มีค่าพีอี หรือ ผลการดำเนินงานที่เป็นบวกเข้ามารองรับ แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นแบบผูกขาด (Monopoly) ในการเก็บค่าต๋งแต่เพียงเจ้าเดียว มันทำให้นักลงทุนต่างก็มั่นใจได้ว่าเมื่อทุกอย่างกลับมาเข้าที่ หุ้นผูกขาดอย่าง AOT จะสามารถกลับมาได้เช่นกัน 
 

อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า AOT เป็นหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลุมหลบภัยในเวลาที่ทุกอย่างดูจะผิดปกติ แต่เมื่อทุกอย่างกลับมาเข้าที่...สำหรับเจ๊เมาธ์หุ้นอย่าง AOT ก็อาจจะต้องปล่อยทิ้งออกไปบ้างเพื่อแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า อย่าได้ลืมไปว่าตอนนี้ราคาหุ้นแทบจะรับรู้ผลการดำเนินงานในอนาคตจนราคาหุ้นแทบจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปแล้ว ประมาณว่าแม้จะไม่ลง...แต่ก็ไม่น่าจะขึ้นได้มากเท่าไหร่นั่นเอง 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,796 วันที่ 30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2565