เคยไปเดินชมนิทรรศการภาพวาดแนว Abstract ที่ลวดลายการวาดไม่สำแดงรูปลักษณ์ตัวตน เป็นภาพที่มีแต่ลายเส้นมาวาดรวมทับซ้อนกันไปมาจนเกิดเป็นมิติต่างๆ นาๆ สอดคล้องกับนัยความหมายของคำว่า Abstract คือ นามธรรม แล้วแต่จะจินตนาการ
ปัญหาของผลงานภาพวาดจิตกรเขาวาดด้วยถ่านไฟ มันจึงมีสีดำทุกภาพ ทำให้จินตนาการยากขึ้น บริเวณกลางห้องเขาจัดวางสมุดแสดงความคิดเห็นเอาไว้ ผมเปิดอ่านเจอการเมนท์ตอบโต้กันด้วยรสชาติส้มตำน้ำตก คนที่ไม่ชอบคิดลึกเขาก็ระบายความอัดอั้นเอาไว้ว่า
“ภาพอะไรก็ไม่รู้ มืดๆดำๆ ดูไม่รู้เรื่อง” (ฮา)
มีผู้ไม่ประสงค์จะออกนามคนหนึ่งมาเมนท์ต่อเนื่องว่า
“ดูไม่เป็น โง่เอง แล้วยังจะมาว่าคนอื่น”
คนที่มาเขียนดูแคลนผู้อื่นคงจะลงทุนเปิดกิจการไปได้ไม่ไกล เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้หลักคิดที่ยอมรับว่า ถ้าคิดจะทำมาหากินกับคน เราควรทำงานให้ถูกใจลูกค้าเป็นหลัก ไม่ใช่ ทำงานให้โดนใจตัวเราเองเป็นที่ตั้ง
อุปสรรคสำคัญในการเริ่มต้นทำมาหากิน ไม่ใช่ คู่แข่ง หลุมดำด่านแรก ที่ บุคลากรทุกระดับจะต้องก้าวข้าม คือ ความเชื่อเชิงลบที่ส่งผลต่อพฤติกรรม เราควร พิจารณา มหาพิจารณา X-Ray ชุดความเชื่อ ของตัวเราเองว่า ความคิด อารมณ์ คำพูด ท่าที กับ วิธี มันสอดคล้องกับความอยากของผู้มีส่วนได้เสียหรือเปล่า
ถ้าลูกค้าพูดจากวนใจ พนักงานร้านเราจะ สวดคาถาไมน์เซต ว่า “ใผเป็นใผ…ใผเป็นใผ หากินอย่าหาเรื่อง” เห็นด้วยกับคำแนะนำที่ว่า “จะคุยกับผู้ใหญ่หรือลูกค้า ให้จำไว้ว่า ตีสนิทได้แต่อย่าตีเสมอ” จึงปลงใจสละสิทธิ์เรื่องความเสมอภาค หรือ ตั้งใจมาแต่ชาติก่อนที่จะสวดคาถาเสมอภาค ว่า “เอ็งก็คน…ข้าก็คน” จึง วางตัวเสมอภาค ลูกค้าโต้เราก็มีสิทธิ์เถียง!
ผมดูข่าวทีวีช่อง 3 แล้วรีบไปเปิดกูเกิ้ลเสาะดูข่าว เจอปั๊บก็งับมาสต๊อคเอาไว้
23 กรกฎาคม 2009 ศิลปิน Roger Griffiths ลูกค้าฝากเงินต่อเนื่องมานานถึง 25 ปี ด้วยความซื่อสัตย์ รู้สึกผิดหวังเมื่อ Westpac Bank ที่ New Zealand ได้ตอบปฏิเสธการขอสินเชื่อ 80,000 ดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจลงมือเอาคืนล้างแค้นแบบห้าวๆ ด้วยการขอถอนเงินทั้งหมด 190,000 ดอลลาร์ โดยเจาะจงว่า ต้องจ่ายเป็นธนบัตรใบละ 20 ดอลลาร์ ล้วนๆ เนื่องจากพนักงานพูดชี้แจงตรงหน้าเคาน์เตอร์ว่า จั๋งซี้มันต้องถอน
“ความแน่นอนรายได้คุณไม่ปกติ ไม่น่าเชื่อถือ!”
คนทำมาหากินไม่คิดจะสนใจคำแนะนำที่ว่า ปากเป็นเอก เท่กว่า ปากเป็นแอก กันซะบ้างเลยเนาะ
สังคมเล่าขานกันมานานแต่แก่นสารของเรื่องยังทันสมัยอยู่เสมอ เมื่อครั้งน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แม้ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืน ในหลวง ร.9 ก็ยังไม่เสด็จขึ้นไปห้องพระบรรทม ทรงติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ท่านได้ส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ช่วงเวลาตี 3 สอบถามข่าวไปยังพนักงานประจำพื้นที่ด้วยพระองค์เองว่า
“น้ำลดแล้วหรือยัง?”
คำตอบที่ ในหลวง ท่านได้รับผ่านทางเครื่องโทรพิมพ์มีข้อความตำหนิว่ากล่าวตอบมาด้วยอาการที่รู้สึกไม่พอใจในทำนองที่ว่า
“ถามอะไรอยู่ได้ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คนเขาจะหลับจะนอน โอ.เค. น้ำลดแล้ว”
ขอเดชะฯ ผมว่าเนื้อหาที่เขาควรจะตอบ คือ น้ำลดแล้ว ถ้อยคำสำนวนใดอื่นใดนอกเหนือจากนี้เป็นขยะส่วนเกิน ลองนึกทบทวนดูว่า ถ้าเปลี่ยนผู้ถาม จาก ในหลวง ร. 9 ไปเป็น อธิบดี โอกาสที่พนักงานท่านนี้จะโดนสั่งย้าย จะเป็นไปได้ไหมล่ะ
แถมท้ายให้เอาไปคิดกันเล่นๆ สักหนึ่งดอก คิดออกแล้วเฉยไว้ (ฮา)
กาลครั้งหนึ่งไม่นานนักแต่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว จังหวัดในแดนอิสานมีโรงน้ำแข็งอยู่ 3 โรง เขาทำน้ำแช็งก้อนสี่เหลี่ยมผินผ้ายุคป้าตะบันหมาก ราคาก้อนละ 50 สตางค์ มีนักการเมืองขาใหญ่สไตล์อุ้มฆ่ารายหนึ่ง ไปจับเข่าคุยกับเจ้าของโรงน้ำแข็งทั้ง 3 ราย ขาใหญ่บอกว่าเขาก็จะตั้งโรงน้ำแข็งและขอความร่วมมือให้ทั้งสามโรงรวมหัวกันขาย ก้อนละ 1 บาท ทั้ง 3 รายปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาเดิมก็ได้กำไรดีพอแล้ว จะขึ้นราคาพรวดเดียว 100% มันจะดูใจร้ายไส้ระกำไปหน่อยไหม
ขาใหญ่เคืองปรี๊ด ตั้งโรงน้ำแข็งเสร็จก็ทดลองทำความเลว ด้วยการผลิตแจกชาวบ้านมันไปเรื่อยๆ บรรดาลูกค้าคือชาวบ้านผู้หลงไหลของฟรีก็กระดี๊กระด๊าเลิกซื้อหันไปรับน้ำแข็งจากซาตานกันอุตลุต โรงน้ำแข็ง 3 โรงก็ต้องจำใจยอมฮั้วขึ้นราคาตามที่ขาใหญ่ไล่บี้