KEY
POINTS
นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ศรีฟ้า’ เบเกอรี่ เปิดเผยกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า ตลาดเบเกอรี่ทั่วโลกมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย, เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งประชาชนหันมาใช้เบเกอรี่เป็นอาหารมื้อหลักมากขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง
ในประเทศไทยตลาดเบเกอรี่มีมูลค่า 8 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่อง จากพฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไปเลือกบริโภคเบเกอรี่เพราะสะดวกและรวดเร็ว “ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ เบเกอรี่ถือเป็นอาหารหลักของคนในสังคม ทำให้ตลาดเบเกอรี่ในไทยมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต เพราะความสะดวกและความรวดเร็วในการรับประทานทำให้เบเกอรี่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น”
นายพีรวัส ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้ไม่สูงขึ้นมากนัก แต่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกลับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้แบรนด์ที่มีกลยุทธ์การขายสินค้าในราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพนั้นสามารถตอบโจทย์ได้
การปรับขึ้นราคาสินค้าในบางช่วงไม่ได้หมายความว่าแบรนด์จะได้กำไรมากขึ้น แต่เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านราคาที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ โดยไม่กระทบกับคุณภาพของสินค้า
“6 เดือนที่ผ่านมาต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้ามีการปรับตัวสูงขึ้น เช่น นม เนย น้ำตาล ซึ่งส่งผลให้แบรนด์ต้องพิจารณาการปรับราคาสินค้า แต่แบรนด์ยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมที่สำคัญ โดยไม่ให้ราคาสินค้าสูงจนเกินไป เช่น ขนมปังมะม่วงที่เคยขายในราคา 22 บาท แต่ปรับเป็น 27 บาท เป็นต้น”
ปัจจุบันบริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด ดำเนินงานใน 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งบริษัทผลิตสินค้าให้แก่โมเดิร์นเทรดและคู่ค้ารายใหญ่เช่น แม็คโคร, โลตัส และเซเว่นอีเลฟเว่น โดยมีพาร์ทเนอร์หลักคือไมเนอร์ ฟู้ด ตั้งแต่เริ่มต้น
และล่าสุดมีการร่วมทุนกับบริษัท Art of Baking ซึ่งเป็นผู้ผลิตขนมอบและแป้งแช่แข็งของไทย พร้อมทั้งร่วมมือกับบริษัท Europastry สัญชาติสเปนที่เชี่ยวชาญในการผลิตขนมอบแช่แข็งและเบเกอรีแบรนด์ชั้นนำในยุโรป เป็นผู้ผลิตที่จัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับเชนร้านดังอย่าง Starbucks และ Dunkin เป็นต้น โดยการร่วมทุนนี้มีการลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 500 ตันต่อเดือน โรงงานใหม่จะตั้งที่สมุทรสาคร
2.ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ภายใต้แบรนด์ ‘ศรีฟ้าเบเกอรี่’ ที่มีทั้งสาขาของบริษัทเองและแฟรนไชส์ โดยธุรกิจแฟรนไชส์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2566 เนื่องจากมองว่าธุรกิจ ศรีฟ้าเบเกอรี่มีศักยภาพในการต่อยอดได้จากฐานลูกค้าและความนิยมที่มีอยู่แล้ว จึงตัดสินใจขยายธุรกิจแฟรนไชส์เป็นช่องทางสำคัญในการเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัท
โดยโมเดลแฟรนไชส์มี 3 ขนาดหลัก คือ M (1 คูหา), L (2 คูหา) และ XL (3 คูหา) ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ในชุมชนและตลาดทั่วไป โดยบริษัทมุ่งเน้นการเปิดร้านในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ชุมชน และ ตลาด มากกว่าการเปิดใน ห้างสรรพสินค้า เนื่องจากบริษัทเห็นว่าการเปิดร้านในพื้นที่ชุมชนจะสามารถสร้างความรู้จักและเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น
นอกจากการขยายสาขาแล้วยังคงโฟกัสที่การพัฒนา แบรนด์ “ศรีฟ้า” เบเกอรี่ ให้มีความหลากหลายทั้งในด้าน ผลิตภัณฑ์ และ การบริการเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าเพิ่มขึ้น
ส่วนแผนระยะยาวบริษัทมุ่งพัฒนาธุรกิจ OEM เน้นการขยายตัวหลักที่ธุรกิจค้าปลีก ทั้งสาขาของบริษัทและแฟรนไชส์ โดยตั้งเป้าหมายที่จะมี 500 สาขา ภายในปี 2573 ครอบคลุมทุกจังหวัดและอำเภอรอง เน้นตลาดในชุมชนเป็นหลัก
โดยใช้กลยุทธ์การตลาดที่ไม่เน้นการลงทุนโฆษณามากนัก แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยตัวเอง และการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ บริษัทใช้เฟซบุ๊กและติ๊กต็อกในการโปรโมท โดยสร้างเพจสำหรับแต่ละสาขาทั่วประเทศ เช่น สาขาสุราษฎร์ธานี เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลและโปรโมชั่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการรีวิวสินค้าจากลูกค้าจริงและจัดโปรโมชั่นหน้าร้าน เช่น การแจกฟรีและลดราคาสินค้า เป็นต้น
สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 44 สาขา โดยในปัจจุบันเปิดไปแล้วกว่า 20 สาขา และในไตรมาส 4 นี้ จะเปิดให้ครบตามเป้าที่ตั้งไว้ ทำให้บริษัทมีสาขาทั้งหมด 85 สาขาในสิ้นปีนี้ และในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 565 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวม 1,000 ล้านบาทในสิ้นปี
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,130 วันที่ 11 - 13 กันยายน พ.ศ. 2568