เป้าหมายลดการปล่อย “ก๊าซคาร์บอน” ให้เป็นศูนย์ในช่วงปี 2065–2070 สู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย ทำให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริม “พลังงานสะอาด” นำมาสู่ “การซื้อขายไฟฟ้า” ระหว่างประชาชนด้วยกันเองผ่านเทคโนโลยี Blockchain
ล่าสุดธนาคารกสิกรไทยจึงประกาศโปรเจ็คต์ใหญ่จับมือกับ 4 พันธมิตร ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดตัว “โครงการ SolarPlus” ภายใต้มิชชั่น GO GREEN Together ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้แก่ประชาชนฟรีเพื่อผลิตและขายไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในไทย โดยนำร่องโครงการหมู่บ้านศุภาลัยตั้งเป้าติดตั้ง 500,000 หลังทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี
โดย กฟผ. ได้นำแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Energy Trading เพื่อเชื่อมระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในโครงการ SolarPlus ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปด้วยกันเองเป็นครั้งแรกในไทยเพื่อร่วมส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าจะสามารถช่วยลดการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” ลงได้ 2.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
สำหรับ Peer-to-Peer Energy Trading เป็นแพลตฟอร์มที่รองรับการตกลงซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบสัญญาทวิภาคี (Bilateral Trading) โดยนำไฟฟ้าส่วนที่เกินจากความต้องการใช้งานมาเสนอซื้อ-ขายระหว่างกันได้โดยตรง (Peer-to-Peer) ซึ่งสามารถติดตามกำลังการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน รวมทั้งดูประวัติย้อนหลังได้ตลอดเวลา
การซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer
“Peer-to-Peer Energy Trading ที่พัฒนาขึ้นโดยทีมงาน กฟผ. ได้ผ่านการทดลองใช้งานจริงในโครงการ ERC Sandbox เฟส 1 เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการ เป็นสื่อกลางซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโครงการโซลาร์พลัส เพื่อใช้ในการบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียว ความคาดหวังส่วนตัวคือ แพลตฟอร์มจะต้องมีการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ง่ายและเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะสามารถขยายผลสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคในอนาคตต่อไป” ดร.จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษก กฟผ. กล่าว
นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับภาคนโยบายในการเตรียมออกแบบกฎกติกา มาตรการส่งเสริม มาตรการป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบไฟฟ้าอย่างรอบด้าน รวมถึงจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและระบบกิจการพลังงานโดยรวมของประเทศ
ในอนาคต Peer-to-Peer Energy Trading ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการซื้อขายแบบพหุภาคี (Multi-lateral) หรือ Pool Market ซื้อขายไฟฟ้าล่วงหน้า (Day Ahead) และการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างวัน (Intraday) ได้อีกด้วย
ในยุคที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าเปลี่ยนผ่าน หรือ Transformation มีคำถามตามมาว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยจะต้องปรับตัวอย่างไร ?
เรื่องนี้ กฟผ. ในฐานะผู้ขับเคลื่อนหลัก ระบุว่า กฟผ. ได้เดินหน้าพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ EGAT Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี ค.ศ. 2065 ของประเทศ รวมทั้งป็นผู้ให้บริการ ด้านพลังงานแบบครบวงจร โดย กฟผ. จะมีการนำนวัตกรรมด้านพลังงานที่พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้บริโภคหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับ Smart Energy Solutions ทั้งในส่วนของการเข้าถึงพลังงานสะอาด ระบบกักเก็บพลังงาน และการบริหารจัดการพลังงานผ่าน Digital Platform
ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นโอกาสและความท้าทายด้านพลังงานของคนไทย และเป็นโอกาสที่บ้านและอาคารต่าง ๆ จะผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้และซื้อขายกันเอง โดยพึ่งพาไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่น้อยลงก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น
แม้ว่าวันนี้จะยังไม่สามารถใช้พลังงานสะอาดได้ 100% แต่สิ่งที่ได้เห็นอย่างชัดเจน คือ ความจริงจังของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานสะอาดมากขึ้น อาทิ โซลาร์รูฟท็อป การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) ซึ่งนอกจากช่วยลดค่าไฟแล้ว ยังสามารถขายไฟ สร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้อีกด้วย