เปิดยุทธศาสตร์ ‘เลิศโกบอลฯ’ หัวหอกนำแบรนด์ไทย ทะยานตลาดจีน

ชี้แบรนด์ไทยรุกทำตลาดจีนพุ่ง ปลุกธุรกิจที่ปรึกษาฯคึกคัก “เลิศ โกบอลฯ” ชูยุทธศาสตร์ Co-Partner ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ทั้ง Media, E-Commerce และ Offline ดันผู้ประกอบการไทยโตในจีน ก่อนคลอดกลุ่มธุรกิจดิสตริบิวเตอร์รองรับการเติบโตของสินค้าไทยในจีน

นายสุวัฒน์ รักทองสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิศ โกบอล กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการตลาด และผู้เชี่ยวชาญด้านการ กระจายสินค้าและบริการไทยไปตลาดจีน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากแนวโน้มด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อของจีนที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายผู้ประกอบการของไทยต่างมองว่าจีนคือโอกาสทองในการดำเนินธุรกิจและให้ความสนใจในการทำตลาด แต่ขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็มองว่าจีนแม้จะมีจำนวนประชากรและศักยภาพทางการเติบโตสูง แต่ทว่าด้วยจำนวนประชากรจีนที่มีจำนวนมากและมีหลากหลายมณฑล ทำให้หลายคนมองว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างปราบเซียนและทำตลาดได้ยาก แต่หากสามารถทำตลาดได้ตรงจุดสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้จีนถือเป็นตลาดที่สามารถสร้างการเติบโตได้สูงจากขนาดตลาดและจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก

                 สุวัฒน์ รักทองสุข

จากโอกาสดังกล่าวทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจเพราะด้วยความที่คุ้นชินและเติบโตด้านการทำงานมาในจีน ทำให้ลูกค้าอยากให้ช่วยดูแลในเรื่องการทำตลาดจึงเกิดเป็นบริษัทขึ้นเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ในรูปแบบการบริการแบบ Shot Cut การทำตลาดจีนในรูปแบบ One Stop Service ให้ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการไปขยายตลาดในจีนหรือกลุ่มประเทศที่มีการใช้ภาษาจีนอย่างฮ่องกง ไต้หวัน เป็นต้น ได้เข้าไปขยายตลาดได้ตรงจุด โดยมี 3 คีย์ซักเซสหลักได้แก่ ตอบโจทย์ตลาด ตอบโจทย์ลูกค้า และตอบโจทย์ตัวเอง

สำหรับยุทธศาสตร์การดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการดำเนินงานใน 2 ส่วนหลักได้แก่ ยุทธศาสตร์เชิงลึก ได้แก่การเสริมทัพการบริการที่หลากหลายเข้ามารองรับความต้องการ และยุทธศาสตร์เชิงกว้าง ที่ต้องสามารถให้บริการได้ในทุกกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้ภาษาจีน โดยจะมีการดำเนินงานทั้งการพัฒนาแพลต ฟอร์มที่ตอบโจทย์ ลูกค้าทั้งผู้ประกอบการไทยและจีน ผ่านรูปแบบการดำเนินงานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ตามความเหมาะสมของผู้ประกอบการแต่ละประเภท โดยมีรูปแบบการ Co-Partner กับพันธมิตรในท้องถิ่น ที่มีทั้ง Media Platform, E-Commerce Platform และ Offline Platform ควบคู่กับการร่วมงานแสดงสินค้าชั้นนำของจีนมากมาย ขณะเดียวกันก็จะมีการนำสินค้าแบรนด์จีนมาร่วมงานแสดงสินค้าในไทยด้วย

พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่ในกลุ่มดิสตริบิวเตอร์ และโลจิสติกส์ ในประเทศจีนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทและลูกค้าในอนาคต เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนงานและศึกษารูปแบบตลาด ก่อนจะเตรียมขยายโปรเจ็กต์และแผนงานอื่นในประเทศจีนเพื่อรองรับตลาดและโอกาสของสินค้าไทยในอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมขยายสาขา (สำนักงาน) ในไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตลาด (ที่ใช้ภาษาจีน) ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคตด้วย

นอกจากนี้บริษัทยังได้แตกไลน์การบริการจากเดิมที่เน้นให้คำปรึกษาผู้ประกอบการไทยที่ต้องการไปจีน และผู้ประกอบการจีนที่ต้องการขยายตลาดในจีนเอง ด้วยการเปิดการให้บริการสำหรับผู้ประกอบการจีนที่ต้องการมาขยายตลาดในเมืองไทย ซึ่งนักธุรกิจจีนที่สนใจมาลงทุนในไทยประกอบไปด้วย กลุ่มผู้สนใจนำสินค้ามาจำหน่าย และกลุ่มนักลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าการเข้ามาของทั้ง 2 กลุ่มไมได้มีจุดประสงค์เพื่อการเข้าทดแทนสินค้าไทยแต่อย่างใด หากแต่เป็นการให้ไทยเป็นฮับ (HUB) ในการส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียนมากกว่า

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 100 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่  1.กลุ่มบริษัทไทยที่ต้องการไปดำเนินธุรกิจในจีน 50% 2.กลุ่มบริษัทจีนที่ต้องการขยายตลาดในประเทศจีน 30% 3.กลุ่มบริษัทจีนที่ต้องการขยายตลาดมาไทย 20% โดยมาจากกลุ่มธุรกิจความงาม 40% อาหารและเครื่องดื่ม 30% และกลุ่มธุรกิจบริการและแลนด์มาร์ก อาทิ คลินิกความงาม,ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ, ธนาคาร 20% โดยวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 100% ต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งวางเป้าหมายการเติบโต 2 ปีนับจากนี้ด้วยการก้าวขึ้นสู่ผู้นำเบอร์ 1 ในตลาด จากปัจจุบันที่บริษัทถือเป็นผู้เล่นท็อป 3 ในตลาด (จากจำนวนผู้ให้บริการทั้งไทยและจีน) 

หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3485 ระหว่างวันที่ 7 - 10 กรกฎาคม 2562