สัมภาษณ์
วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มจาก 10% เป็น 25% มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 6,031 รายการ (ก่อนหน้านี้เก็บไปแล้วจำนวน 1,333 รายการ) ถึงวันนี้ สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปแล้วมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำลังจะเก็บเพิ่มอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ (คาดประกาศในเดือนกรกฎาคม 2562)
วันที่ 13 พฤษภาคม 2562 จีนตอบโต้ทันทีด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 5-25% มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (มีผลวันที่ 1 มิถุนายน 2562) จำนวน 5,140 รายการ แยกเป็น 2,493 รายการเก็บ 25%, 1,078 รายการ เก็บ 20%, 974 รายการเก็บ 10% และ 595 รายการเก็บ 5% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้า เนื้อหมู แกะ ชา กาแฟ ผลไม้ ไวน์ เบียร์ เครื่องดื่ม ประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ถึงวันนี้จีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ไปแล้วมูลค่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช
3 เรื่องหลักที่มาสั่งลุย
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปี 2562 มีโอกาสจะขยายตัว ไม่ถึง 1% ตํ่าสุดรอบ 4 ปี (นับจากปี 2559) เหตุผลหลักที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องทำลุยไฟทำสงครามการค้า (Trade War) กับจีนต่อ เกี่ยวข้อง 3 เรื่องหลักคือ การค้าที่ไม่เป็นธรรม การกระทำและนโยบายที่ไม่สอด คล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศสหรัฐฯ และการกระทำและนโยบายเหล่านี้กระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั่นคือ “จีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ลักลอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ” โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(USTR) ได้ออกรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 กล่าวถึงการละเมิดทางการค้าของจีน
โดยสรุปมีตัวละครจีนที่เกี่ยวข้องอยู่ “4 กลุ่ม” คือ หน่วยงานรัฐบาล นโยบายอุตสาหกรรม บริษัทเอกชนและนักศึกษา โดยมีกลุ่มธุรกิจที่เป็นเป้าหมายถึง “8 ธุรกิจ” ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรคมนาคม หุ่นยนต์ การบริการข้อมูล ผลิตภัณฑ์ยา มือถือและบริการ การสื่อสารดาวเทียม และธุรกิจซอฟต์แวร์ มีนโยบายที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับคือ “National Medium and Long-Term Science and Technology Development Plan (2006-2020) : MLP” และ “State Council Decision on Accelerating and Cultivation the Development of Strategic Emerging Industries” ซึ่งไปโยงกับนโยบายสำคัญ “Made in China 2025” และใช้ความสำเร็จผ่าน “บันได 4 ขั้น” ที่เรียกว่า “IDAR” (Introduce, Digest, Absorb และ Re-innovate ที่ร่วมกันระหว่างหน่วยงานจีนกับบริษัทจีน)
5 ประเด็นทำสุดทน
รายงานระบุมีเจ้าหน้าที่ของจีนที่ดำเนินการเรื่องนี้ทั้งหมด 9 หมื่นคน (ในประเทศ 4 หมื่นคน ในต่างประเทศ 5 หมื่นคน) ระบุถึง “5 ประเด็นสำคัญ” 1. มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความลับทางการค้า ขั้นตอนในการทำธุรกิจและเทคโนโลยี เฉพาะความลับทางการค้าของสหรัฐฯ มีการประเมินว่าได้ขโมยไปเป็นมูลค่าตั้งแต่ 1.8-5.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2. จีนตั้งใจหลีกเลี่ยงกฎหมายการส่งออกของสหรัฐฯ เพราะมีกลุ่มคนที่ทำงานในสหรัฐฯ และส่งข้อมูลกลับไปยังประเทศจีนโดยหลบเลี่ยงกฎหมายฉบับดังกล่าว 3. ประเด็นสินค้าปลอมและการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งอ้างว่าจีนเป็นแหล่งสินค้าปลอมและละเมิดลิขสิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 4. การกำหนดเข้มต่อการลงทุนของต่างชาติ “Foreign Owner Restriction” ของจีน ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนสหรัฐฯ อย่างมาก
“ยูเอสทีอาร์ให้ข้อมูลว่า จีนจะห้ามนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมสำคัญๆ เว้นแต่จะร่วมลงทุนกับนักลงทุนจีนเท่านั้นและนักลงทุนจีนต้องสามารถควบคุมการตัดสินใจได้ด้วย และประเด็นสำคัญ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีนระหว่างที่ทำธุรกิจด้วย”
อย่างไรก็ตามหากเราติดตามเรื่องนี้จะเห็นได้ว่ารัฐบาลจีนก็มีความตั้งใจจะเปิดโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างชาติ เห็นได้จากคณะกรรมการปฎิรูปและพัฒนาแห่งชาติจีน (the National Development and Reform Commission : NDRC) ได้มีกำหนดระยะเวลาในการยกเลิกข้อกำหนดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเมื่อเดือนเมษายน 2561 ว่าจากเดิมการลงทุนอุตสาหกรรมรถยนต์ นักลงทุนต่างชาติต้องลงทุนแบบร่วมทุน (Joint Venture : JV) สัดส่วน 50% ซึ่งข้อกำหนดนี้จะถูกยกเลิกไปในปลายปี 2561 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนรถยนต์เชิงพาณิชย์จะยกเลิกในปี 2563 และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยกเลิกในปี 2565 แต่ประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นยังอยู่ และ 5.จีนบังคับให้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรและเทคโนโลยี อนุญาตให้บริษัทจีนใช้สิทธิบัตรดังกล่าวได้
“ภายใต้ข้อตกลงการถ่าย ทอดเทคโนโลยี ประเด็นสุดท้ายนักลงทุนต่างชาติต้องเปิดเผยข้อมูล รหัสและ source codes ให้กับจีนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ประเด็นข้างต้นคงตอกยํ้าชัดเจนว่า ทำไมสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงดำรงอยู่ต่อไป เพราะประเด็นข้างต้นในมุมมองสหรัฐฯ ยังไม่ได้รับการแก้ไข”
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,471 วันที่ 19-22 พฤษภาคม 2562