‘SWP’ปรับทัพรับศึกสกินแคร์ออนไลน์แข่งดุ

ตลาดสกินแคร์ช่องทางออนไลน์แรงไม่หยุด แบรนด์ดังหั่นราคา โหมโปรโมชันเรียกลูกค้า “SWP” เร่งปรับแผนสร้างแบรนด์ วางเป้า 2 ปี อัดงบเพิ่ม 20 ล้านบาทเปิดโรงงานการผลิตเอง หวังป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นางสาวสิราภรณ์ สงสอน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส ดับบลิว พี กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการแข่งขันในตลาดสกินแคร์เมืองไทยยังคงมีการแข่งขันกันรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ที่มีการแข่งขันอย่างสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงมาช่วยทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น และจำนวนผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้บริษัทเริ่มปรับนโยบายการทำงานในรูปแบบเชิงรุกมากยิ่งขึ้น หลังจากอยู่ในตลาดออนไลน์มาเป็นเวลา 7 ปีแต่ยังไม่มีการทำตลาดอย่างจริงจัง

สำหรับนโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์เชิงรุกมากขึ้นทั้งในส่วนของการปรับแพ็กแกจจิ้งใหม่ พร้อมกับการรีแบรนด์สกินแคร์ “เอส ดับบลิว พี” (SWP) ในคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ขณะที่แผนงานในช่วงไตรมาสที่2 นี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น ทั้งในรูปแบบของตัวแทนจำหน่ายและการสื่อสารแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ควบคู่กับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีก 3 รายการแบ่งเป็นสกินแคร์ 2 รายการ และอาหารเสริม 1 รายการ เพื่อสร้างความหลากหลายของสินค้าให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีสินค้าอยู่แล้ว 13 รายการ ในขณะเดียวกันจะยังรุกหนักในตลาดออฟไลน์ด้วย ผ่านตัวแทนจำนวนให้นำสินค้าไปออกบูธ เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ เน้นเจาะกลุ่มหนุ่มสาว คนวัยทำงาน ในโรงงานที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จังหวัดชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา

“การตลาดบริษัทของจะเน้นหนักไปที่ออนไลน์มาร์เก็ตติ้งถึง 90% ที่เหลือ 10% เป็นการทำการตลาดออฟไลน์ และมั่นใจว่าตลาดความงามในประเทศไทย ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะคนหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น แต่การแข่งขันก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น แบรนด์น้อยใหญ่ต่างงัดกลยุทธ์การตลาดมาสู้กัน รายเล็กที่ทำการตลาดไม่เป็น และสินค้าไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็จะล้มตายไปจากวงจรธุรกิจ ส่วนบริษัทจะเน้นคุณภาพ และความน่าเชื่อถือเป็นหลักเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว”

นอกจากนี้บริษัทยังต้องมีการฝึกอบรมตัวแทนจำหน่าย รวมถึงมีการประชุมสัมมนา และให้สิทธิประโยชน์ในการดูแลตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายของบริษัทเลือกจะไปอยู่กับแบรนด์ใหญ่ จึงทำให้บริษัทต้องสร้างกิจกรรมเพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่าย โดยเป้าหมายของการสร้างแบรนด์ของบริษัทในครั้งนี้ จะต้องสื่อให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานผู้บริโภคทั่วไป และสร้างความมั่นใจให้กับตัวแทนจำหน่าย

ขณะเดียวกันยังเตรียมจะขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ ผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น ประเทศอินเดีย บังกลาเทศ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา มีบางประเทศได้นำสินค้าไปทดลองจำหน่ายแล้ว ตลาดตอบรับเป็นอย่างดี เชื่อว่าในอนาคตจะขยายตัวอย่างรวดเร็วแน่นอน ในอนาคตจะนำสินค้าไปบุกประเทศจีน ที่มีความโดดเด่น ด้านจำนวนประชากร และกำลังซื้อมหาศาล โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศในอนาคตมองว่าหากบริษัทสามารถทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยแล้ว ก็ยังจะสามารถขยายไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว ค่อนข้างตามกระแสเมืองไทยพอสมควร

อย่างไรก็ดีสำหรับแผนงานระยะยาวในช่วง 2 ปีข้างหน้าบริษัทวางแผนสร้างโรงงานการผลิตของตัวเองใน จ. พิษณุโลก บนพื้นที่ประมาณ5 ไร่ คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 10-20 ล้านบาท โดยจะรับจ้างผลิตสินค้าของรายอื่นและของตนเอง โดยมั่นใจว่าหลังจากการพยายามสร้างแบรนด์จริงจังมากขึ้น มั่นใจว่าจะทำให้ยอดขายในสิ้นปีนี้เติบโต
ขึ้น 50-80% จากปีที่ผ่านมาหรือมีรายได้ 100 ล้านบาท รวมถึงตัวแทนจำหน่ายจากที่มีอยู่ประมาณ 1,000 คน เป็น 3,000-5,000 คน 

หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3467 ระหว่างวันที่ 5-8 พฤษภาคม 2562