'นิด้า' ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้า ขยายตัวได้ถึง 3.7-4.0%

24 ธ.ค. 2561 | 03:54 น.
'นิด้า' ประเมินเศรษฐกิจไทย ปี 62 โต 3.7–4.0% เลือกตั้งหนุนการบริโภคในประเทศฟื้นตัว แนะฉวยโอกาสสงครามการค้า ดันการส่งออกเพิ่ม เชื่อการเลือกตั้งชัดเจน ช่วยโครงการภาครัฐออกมาต่อเนื่อง

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการ หลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า นิด้าประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 เติบโต 3.7-4.0% โดยการเติบโตจะมาจากกลไกการขับเคลื่อนจากภาครัฐ ผ่านมาตรการและนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งหลายโครงการได้รับอนุมัติและสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2562 งบลงทุนกว่า 4.5 แสนล้านบาท เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีม่วง, โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพื้นที่ EEC และรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี บทบาทของรัฐอาจชะลอตัวจากภาวะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ความชัดเจนทางการเมืองจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่า นโยบายของรัฐบาลใหม่จะสามารถสร้างความน่าสนใจ รวมถึงดึงดูดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนให้เข้ามาในประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกกว่า 4 แสนล้านบาท

ส่วนการบริโภคภาคครัวเรือนอาจดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี จากเงินเลือกตั้งกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจซบเซา เพราะอิทธิพลของหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น และความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งจัดการแก้ไขเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กับการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนภาคการลงทุนปี 2562 นั้น คาดว่าต้องรอถึงช่วงครึ่งปีหลัง เพราะบรรยากาศในการลงทุนและความเชื่อมั่นน่าจะเกิดขึ้นได้จากความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง


บาร์ไลน์ฐาน

สำหรับ "ภาคการส่งออก" ภาวะการค้าโลกกำลังอยู่ในสภาวะชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ "โดนัล ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามกีดกันสินค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ด้วยกำแพงภาษีที่สูงถึง 25% ตามนโยบายที่ใช้หาเสียง แต่จากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น ผลการเลือกตั้งทำให้ทรัมป์ไม่สามารถกำกับสภาผู้แทนฯ ได้เหมือนเคย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า บทสรุปของสงครามการค้าระหว่างจีนจะจบลงอย่างประนีประนอมด้วยการเจรจาที่ลงตัว และภาวะทางการค้าโลกจะกลับมาสดใสในไม่ช้า

อย่างไรก็ตาม ไทยก็อาจจะได้รับประโยชน์จากการเป็นประเทศที่ 3 ที่ช่วยเชื่อมโยงการส่งออก ซึ่งจะมีผลให้ภาคการส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ต้องพึ่งพาการส่งออกมากถึง 78.4% คาดว่าการส่งออกไทยปี 2562 จะเติบโตได้ประมาณ 6% ลดลงจากปีนี้เล็กน้อย

ปัจจัยเสี่ยงที่มีส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2562 คือ (1) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าและจีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก) ที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว ซึ่งไทยพึ่งพาการส่งออก 78.4% จึงได้รับผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก (2) การเมืองที่รอความชัดเจนและมีผลต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศในการลงทุนของประเทศ (3) ภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งกระทบต่อการบริโภคของภาคครัวเรือนและกระทบต่อเนื่องไปถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจ เพราะประชากรจำนวนกว่า 1 ใน 3 ของประชากรไทยทั้งหมดอยู่ในภาคเกษตร และ (4) ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก OPEC มีแผนลดการผลิตลง ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตแล้ว ยังส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในภาพรวมด้วย ขณะที่ ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.00% - 2.25% ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ระดับ 31–33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ

สำหรับภาพรวมของปี 2561 เศรษฐกิจไทยค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากกำลังซื้อของภาคการบริโภคชะลอตัว หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 77.5% ต่อ GDP โดยส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นกับธนาคารพาณิชย์ โดยในส่วนนี้เป็นเพียงหนี้ในระบบเท่านั้น ไม่ได้นับรวมหนี้นอกระบบที่คาดว่าขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ นอกจากอิทธิพลของความซบเซาภายในประเทศแล้ว อีกหนึ่งปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคครัวเรือนคือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เนื่องจากจำนวนประชากรที่อยู่ในภาคเกษตรของประเทศไทยนั้นมีมากกว่า 7.9 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 46.4% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ ทำให้กำลังซื้อของประชากรโดยส่วนใหญ่ชะลอตัว ในขณะที่ ภาคการลงทุนยังคงชะลอตัว โดยมีดัชนีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 68%

การลงทุนในภาคการผลิตจริงจากต่างประเทศและการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยังคงรอความชัดเจนทางการเมือง ส่วนภาคการส่งออกคาดว่าภาพรวมของปี 2561 จะเติบโตได้ 8% จากกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง ASEAN ที่มีสัดส่วนการส่งออกกว่า 28.5%ของมูลค้าการส่งออกทั้งหมดของไทย ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวกลับชะลอตัวในช่วง High-Season เนื่องจากมีกรณีอุบัติเหตุ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2561 นั้น เติบโตได้จากภาคการส่งออกและบทบาทการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ผ่านนโยบายประชานิยม และโครงการการลงทุนต่าง ๆ คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 4.3%

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว