"สนธิรัตน์" ชง 'บิ๊กตู่' เปลี่ยนบทบาท สสว. เน้นกำหนดยุทธศาสตร์เอสเอ็มอี
"สนธิรัตน์" ชง 'บิ๊กตู่' เปลี่ยนบทบาท สสว. เน้นกำหนดยุทธศาสตร์เอสเอ็มอี ชี้! ที่ผ่านมาเน้นจัดกิจกรรม เอเจนซี่รับอานิสงส์ตรึม พร้อมถกทูตย์พาณิชย์รับมือสงครามการค้า
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวระหว่างการมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) 64 แห่งทั่วโลก ว่า ขณะนี้มีแนวคิดเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 ในการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้เป็นหน่วยงานที่กำหนดยุทธ์ศาสตร์และการวัดผล (เคพีไอ) หน่วยงานต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือและพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีของประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา สสว. มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ จำนวนมาก แต่หลาย ๆ งานก็ซ้ำกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดบูธออกงาน หรือ การจัดกิจกรรมในงานแสดงสินค้าต่าง ๆ แต่ผลประโยชน์กลับไปอยู่ที่บริษัทจัดงานเอเจนซี่แทน ทำให้เอสเอ็มอีไม่ได้รับเงินสนับสนุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
"ผมนั่งในตำแหน่งคณะกรรมการชุดใหญ่ของ สสว. แต่เห็นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มาหลายโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จัดงานซ้ำกับหน่วยงานอื่น บางครั้งเรียก สสว. ว่าเป็นกระทรวงพาณิชย์น้อย หรือ กระทรวงอุตสาหกรรมน้อย ดังนั้น จึงอยากให้ สสว. ปรับบทบาท ทำหน้าที่ดูเอสเอ็มอีเป็นหลัก ในการดูแลยุทธ์ศาสตร์ภาพรวมระดับประเทศ และกำหนดทิศทางต่าง ๆ ซึ่งน่าจะดีกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน"
สำหรับการมอบนโยบายให้แก่ทูตพาณิชย์นั้น ต้องการให้ทูตพาณิชย์เพิ่มบทบาทการทำงานใหม่ ๆ เช่น การทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนในการติดต่อกับพ่อค้าต่างประเทศ ให้มีการเจรจากับผู้ประกอบการไทย และทำหน้าที่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะนักลงทุนในกลุ่มการรูปแบบใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งในอนาคตจะช่วยเพิ่มยอดส่งออกของไทยในอนาคต
นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาโยกย้ายทูตพาณิชย์ หรือ อาจปิดสำนักงานทูตพาณิชย์ในประเทศที่ประเมินว่าการส่งออกของไทยไม่ขยายตัว 3-5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตลาดที่ภาคเอกชนไทยสามารถทำตลาดได้อย่างเข้มแข็งแล้ว เพื่อไปตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และโยกย้ายเจ้าหน้าที่ไปยังตลาดอื่นที่ตลาดขยายตัวดี เพื่อแก้ไขปัญหากำลังพลขาดแคลน
"การประชุมครั้งนี้ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับทูตพาณิชย์ในการจัดทำแผนรับมือผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าโลก ว่า ตลาดไหนได้รับผลกระทบ เพื่อทำแผนการส่งออกไทยในปี 2562 ด้วย โดยคาดว่าแผนดังกล่าวจะขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศของไทยได้อย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อ"
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวระหว่างการมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) 64 แห่งทั่วโลก ว่า ขณะนี้มีแนวคิดเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44 ในการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้เป็นหน่วยงานที่กำหนดยุทธ์ศาสตร์และการวัดผล (เคพีไอ) หน่วยงานต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือและพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีของประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา สสว. มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ จำนวนมาก แต่หลาย ๆ งานก็ซ้ำกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดบูธออกงาน หรือ การจัดกิจกรรมในงานแสดงสินค้าต่าง ๆ แต่ผลประโยชน์กลับไปอยู่ที่บริษัทจัดงานเอเจนซี่แทน ทำให้เอสเอ็มอีไม่ได้รับเงินสนับสนุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
"ผมนั่งในตำแหน่งคณะกรรมการชุดใหญ่ของ สสว. แต่เห็นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มาหลายโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จัดงานซ้ำกับหน่วยงานอื่น บางครั้งเรียก สสว. ว่าเป็นกระทรวงพาณิชย์น้อย หรือ กระทรวงอุตสาหกรรมน้อย ดังนั้น จึงอยากให้ สสว. ปรับบทบาท ทำหน้าที่ดูเอสเอ็มอีเป็นหลัก ในการดูแลยุทธ์ศาสตร์ภาพรวมระดับประเทศ และกำหนดทิศทางต่าง ๆ ซึ่งน่าจะดีกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน"
สำหรับการมอบนโยบายให้แก่ทูตพาณิชย์นั้น ต้องการให้ทูตพาณิชย์เพิ่มบทบาทการทำงานใหม่ ๆ เช่น การทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนในการติดต่อกับพ่อค้าต่างประเทศ ให้มีการเจรจากับผู้ประกอบการไทย และทำหน้าที่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะนักลงทุนในกลุ่มการรูปแบบใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งในอนาคตจะช่วยเพิ่มยอดส่งออกของไทยในอนาคต
นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาโยกย้ายทูตพาณิชย์ หรือ อาจปิดสำนักงานทูตพาณิชย์ในประเทศที่ประเมินว่าการส่งออกของไทยไม่ขยายตัว 3-5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตลาดที่ภาคเอกชนไทยสามารถทำตลาดได้อย่างเข้มแข็งแล้ว เพื่อไปตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และโยกย้ายเจ้าหน้าที่ไปยังตลาดอื่นที่ตลาดขยายตัวดี เพื่อแก้ไขปัญหากำลังพลขาดแคลน
"การประชุมครั้งนี้ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับทูตพาณิชย์ในการจัดทำแผนรับมือผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าโลก ว่า ตลาดไหนได้รับผลกระทบ เพื่อทำแผนการส่งออกไทยในปี 2562 ด้วย โดยคาดว่าแผนดังกล่าวจะขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศของไทยได้อย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อ"
