‘บี คริสปี้’ผุดบราวนี่อบกรอบ "ไรซ์เบอร์รี่100%" ต่อยอดส่งออก
บราวนี่อบแห้งแบรนด์" บี คริสปี้" ไอเดียบรรเจิดนำข้าวไรซ์เบอร์รี่ทำเป็นผลิตภัณฑ์ 100% เจ้าแรกในตลาด หวังเพิ่มทางเลือกให้กับตลาด ตอบรับกระแสรักสุขภาพ ชูสารอาหารยังอยู่ครบถ้วน แย้มเตรียมนำวัตถุดิบในไทยมาต่อยอด และยกมาตรฐานผลิตภัณฑ์รองรับตลาดส่งออก เชื่อรายได้ปีนี้แตะ 10 ล้านบาท
นางสาววิชุดา ชละเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ็นกรีนสแน็ค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบ แบรนด์ “คริสปี้” และ “บี คริสปี้” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”
ถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าในปีนี้ ว่า จะมีการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นตามคอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า “เทรนดี้สแน็ก” หรือขนมรับประทานเล่นตามความนิยม โดยล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry) 100%
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบดังกล่าวถือว่าเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่สามารถทำได้ จากเดิมที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่จะถูกใช้เป็นส่วนผสมในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆเท่านั้น โดยถือเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เคยพัฒนาแต่ยังทำไม่ได้ถึงขีดสุดจากการดำเนินการด้วยตัวบริษัทเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสอดรับกับกระแสความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีผลอ้างอิงจากห้องทดลอง หรือแล็บว่ามีสารอาหารแกรมมา (GAMMA) จากนํ้ามันรำข้าว (Rice bran oil) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในผลิตภัณฑ์ และสารอาหารอื่นครบถ้วน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น ทุเรียน เป็นต้น มาเพิ่มความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบ ที่อาจจะนำมาใช้ในรูปแบบของกลิ่น หรือนำส่วนของเนื้อมาเป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์ตามแต่ความเหมาะสมในขั้นตอนการผลิต เพื่อขยายตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ พร้อมกันนี้บริษัทยังดำเนินการเรื่องการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สำหรับรองรับตลาดส่งออกด้วยการขอการรับรองผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายฮาลาล, มาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการควบคุมการผลิตตลอดจนกระบวนการควบคุมให้ปฏิบัติตามของกองบริหารคุณภาพผลิตภัณฑ์แห่งรัฐหรือชุมชนนั้นๆ (GMP) และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร (HACCP)
นางสาววิชุดา กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันช่องทางการจำหน่ายของผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่ห้างโมเดิร์นเทรด และบนช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งไลน์แอด (LINE@) และเพจเฟซบุ๊ก โดยมีทั้งลูกค้าจากภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านเป็นลูกค้าหลัก อีกทั้งยังมีในส่วนของตัวแทนจำหน่ายที่นำผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดต่อบนช่องทางตลาดออนไลน์อื่นๆที่เปิดให้บริการอย่าง ช็อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีตลาดส่งออกไปยังประเทศฮ่องกง และเริ่มส่งผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีนแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการไปร่วมงานไทยเฟกซ์ (Thai Fex) อย่างต่อเนื่องยังทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นจากผู้บริโภค โดยล่าสุดได้รับความสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ประกอบด้วย เวียดนาม, สิงคโปร์, จีนและฮ่องกง เป็นต้น
“จากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นมาได้อยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท หรือโตขึ้นประมาณ 50% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท” นางสาววิชุดา กล่าวและว่า
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้น อยู่ที่สูตรของขนมที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเองจากธุรกิจของครอบครัว โดยไม่ใช้ส่วนผสมจากมาการีน (Margarine) แต่จะเลือกใช้เนย 100% มาเป็นส่วนผสม ทำให้ผลิตภัณฑ์ปราศจากไขมันทรานส์อย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่มีคอเรสเทอรอล และมีไฟเบอร์ เป็นต้น โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบมี 6 รสชาติ ได้แก่ อัลมอนด์,ชาเขียว, ช็อกโกแลต, สตรอว์เบอร์รี่, ช็อกโกแลตชิพ และข้าวไรซ์เบอร์รี่
นางสาววิชุดา กล่าวอีกว่า หลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอยู่ที่การเปลี่ยนแปลง และปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องไม่ท้อ และพยายามคิดในมุมบวก
หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3396 วันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2561
นางสาววิชุดา ชละเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ็นกรีนสแน็ค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบ แบรนด์ “คริสปี้” และ “บี คริสปี้” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบดังกล่าวถือว่าเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่สามารถทำได้ จากเดิมที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่จะถูกใช้เป็นส่วนผสมในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆเท่านั้น โดยถือเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เคยพัฒนาแต่ยังทำไม่ได้ถึงขีดสุดจากการดำเนินการด้วยตัวบริษัทเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสอดรับกับกระแสความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีผลอ้างอิงจากห้องทดลอง หรือแล็บว่ามีสารอาหารแกรมมา (GAMMA) จากนํ้ามันรำข้าว (Rice bran oil) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในผลิตภัณฑ์ และสารอาหารอื่นครบถ้วน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น ทุเรียน เป็นต้น มาเพิ่มความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบ ที่อาจจะนำมาใช้ในรูปแบบของกลิ่น หรือนำส่วนของเนื้อมาเป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์ตามแต่ความเหมาะสมในขั้นตอนการผลิต เพื่อขยายตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ พร้อมกันนี้บริษัทยังดำเนินการเรื่องการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สำหรับรองรับตลาดส่งออกด้วยการขอการรับรองผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายฮาลาล, มาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการควบคุมการผลิตตลอดจนกระบวนการควบคุมให้ปฏิบัติตามของกองบริหารคุณภาพผลิตภัณฑ์แห่งรัฐหรือชุมชนนั้นๆ (GMP) และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร (HACCP)
นางสาววิชุดา กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันช่องทางการจำหน่ายของผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่ห้างโมเดิร์นเทรด และบนช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งไลน์แอด (LINE@) และเพจเฟซบุ๊ก โดยมีทั้งลูกค้าจากภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านเป็นลูกค้าหลัก อีกทั้งยังมีในส่วนของตัวแทนจำหน่ายที่นำผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดต่อบนช่องทางตลาดออนไลน์อื่นๆที่เปิดให้บริการอย่าง ช็อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีตลาดส่งออกไปยังประเทศฮ่องกง และเริ่มส่งผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีนแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการไปร่วมงานไทยเฟกซ์ (Thai Fex) อย่างต่อเนื่องยังทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นจากผู้บริโภค โดยล่าสุดได้รับความสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ประกอบด้วย เวียดนาม, สิงคโปร์, จีนและฮ่องกง เป็นต้น
“จากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นมาได้อยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท หรือโตขึ้นประมาณ 50% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท” นางสาววิชุดา กล่าวและว่า
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้น อยู่ที่สูตรของขนมที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเองจากธุรกิจของครอบครัว โดยไม่ใช้ส่วนผสมจากมาการีน (Margarine) แต่จะเลือกใช้เนย 100% มาเป็นส่วนผสม ทำให้ผลิตภัณฑ์ปราศจากไขมันทรานส์อย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่มีคอเรสเทอรอล และมีไฟเบอร์ เป็นต้น โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบมี 6 รสชาติ ได้แก่ อัลมอนด์,ชาเขียว, ช็อกโกแลต, สตรอว์เบอร์รี่, ช็อกโกแลตชิพ และข้าวไรซ์เบอร์รี่
นางสาววิชุดา กล่าวอีกว่า หลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอยู่ที่การเปลี่ยนแปลง และปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องไม่ท้อ และพยายามคิดในมุมบวก
หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3396 วันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2561
