เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 3 ปี จับตาหลายปัจจัยที่ยังไม่แน่นอน

06 ม.ค. 2561 | 07:37 น.
เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 3 ปี...จับตาอีกหลายปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอน

เงินบาทแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี “เข้าใกล้” ระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 3 ปี สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังคงไร้ปัจจัยสนับสนุนที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าในปีนี้จะเป็นปีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นท่าทีที่แตกต่างไปจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยซึ่งมีโอกาสทรงตัวที่ระดับ 1.50% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2561 ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวสะท้อนว่า ความผันผวนของทิศทางค่าเงินบาทท่ามกลางความไม่แน่นอนของหลายๆ ปัจจัยในต่างประเทศ จะยังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องในปีนี้

เปิดตลาดปี 2561 เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 3 ปีที่ 32.22 บาทต่อดอลล์าร์ฯ หลังแข็งค่าทะลุแนว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งน่าจะเป็นแนวสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ตามปัจจัยทางเทคนิคตามมา นอกจากนี้ เงินบาทก็ยังมีแรงหนุนจากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่วันทำการแรกๆ ของปีด้วยเช่นกัน และแม้ว่า กระแสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ จะทำให้สกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย รวมถึงเงินหยวนปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับเงินบาท แต่คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลหนุนให้เงินบาทมีอัตราการแข็งค่าเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค เมื่อเทียบกับระดับปิด ณ สิ้นปี 2560 ที่ผ่านมา

ปัจจัยบวกที่สำคัญของเงินบาทในปี 2561 ยังมาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจจะบันทึกยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ในระดับที่สูงกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ติดต่อกันเป็นปีที่สาม (ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4.54 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2560 หลังจากที่เกินดุลสูงถึง 4.82 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2559 ที่ผ่านมา)

นอกจากนี้ แนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนความคืบหน้าของตารางเวลาทางการเมืองในประเทศ ก็น่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (ด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดงบดุล) ไปได้บางส่วน ทั้งนี้ แม้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของไทย จะยังคงมีท่าทีเป็นแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ก็คงต้องยอมรับว่า อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ของไทย โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนระยะยาว ก็น่าจะสามารถทยอยขยับขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในต่างประเทศได้

อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของอีกหลายปัจจัยอาจทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงหลังจากนี้มีความผันผวน โดยเฉพาะประเด็นจากฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง “ปัจจัยบวก” หรือ “ปัจจัยลบ” ต่อทิศทางค่าเงินบาทในระยะที่เหลือของปี

จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และท่าทีของสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งช่วงเวลาสำคัญของปัจจัยนี้ จะอยู่ที่รอบการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค. 2561 เพราะในรอบดังกล่าว ไม่ใช่เป็นเพียงการประชุมที่จะมีประธานเฟดคนใหม่เท่านั้น แต่จะเป็นรอบที่มีการเปิดเผยรายงาน Dot plot ซึ่งสะท้อนมุมมองต่อระดับอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่น่าจะมีการประเมินผลกระทบจากแผนปฏิรูปภาษีล่าสุดแล้ว ซึ่งภาพดังกล่าว อาจมีผลทำให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กลับมาเป็นจุดสนใจของตลาด และหนุนการฟื้นตัวของเงินดอลลาร์ฯ ได้ในระหว่างปี

สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก อาจเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ขยับมายืนเหนือระดับ 60 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 อาจทยอยเริ่มมีผลหนุนทิศทางเงินเฟ้อ และ “การคาดการณ์เงินเฟ้อ” ของสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ปัจจัยนี้ จะช่วยทำให้จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และน่าจะช่วยลดทอนแรงกดดันที่มีต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ฯ เช่นกัน

ปัจจัยทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ปมปัญหาในตะวันออกกลาง ตลอดจนประเด็นทางการเมืองภายในของสหรัฐฯ และคะแนนความนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยในปีนี้จะมีกำหนดการเลือกตั้งกลางเทอมของสภาคองเกรสในเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนที่นั่งในสภาของพรรครีพับลิกันแล้ว ก็อาจกระทบต่อการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ความผันแปรของสถานการณ์ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกของสหรัฐฯ มักจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเคลื่อนไหวในกรอบที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทตั้งแต่ช่วงวันทำการแรกๆ ของปี 2561 (ซึ่งล่าสุด เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 ปี 3 เดือนที่ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ) เป็นภาพที่สอดคล้องกับกระแสเงินทุนไหลเข้า ซึ่งน่าจะได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องมาจากมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวตอกย้ำว่า ความผันผวนของทิศทางค่าเงินบาทในระหว่างปี ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ว่า จุดสนใจหลักๆ ของตลาดการเงินในปี 2561 จะยังคงอยู่ที่สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกของเงินดอลลาร์ฯ แต่คงต้องยอมรับว่า การที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะกลับขึ้นไปอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น อาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในปีนี้ แต่คงจะต้องจับตาปัจจัยอื่นๆ ในระหว่างปีด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเงินบาท รวมถึงความไม่แน่นอนของ “จังหวะเวลา” (ไม่ใช่ “จำนวนครั้ง”) ของการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ความผันแปรของประเด็นทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ตลอดจนเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (อาทิ สัญญาฟอร์เวิร์ด ออปชั่น และการเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ) ที่เหมาะสม อาจช่วยให้ภาคธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมระหว่างประเทศ สามารถจัดการกับกระแสรายรับและบริหารต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนของค่าเงินบาทในปีนี้ ที่อาจมีภาพที่ไม่แตกต่างไปจากปีที่ผ่านมา ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9