5 ปีอสังหาเปลี่ยนกทม. พื้นที่รอบนอกโต-เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า

19 เม.ย. 2560 | 02:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

กูรู-ดีเวลอปเปอร์ มองอนาคตอสังหาฯ กรุงเทพฯใน 5 ปี เชื่อเปลี่ยนโฉมอย่างแรง ผู้ประกอบการเน้นพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ คาดมีมูลค่าไม่ตํ่ากว่า 5 แสนล้าน โกลเด้นแลนด์ เผยช่วยเปิดพื้นที่ตลาดแนวราบรอบเมือง สัมมากรชี้ช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติแอล.พี.เอ็น. เผยเกิดการร่วมมือมากขึ้น

การเกิดขึ้นของโครงการขนาดใหญ่ในรูปแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ทั้งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือได้มีการประกาศแผนการพัฒนามาก่อนหน้านี้ รวมทั้งโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบหรือว่ายังไม่ประกาศแบบเป็นทางการล้วนมีความน่าสนใจทั้งสิ้น เนื่องจากโครงการนี้จะช่วยพลิกโฉมกรุงเทพฯจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า รูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใจกลางเมืองเริ่มเปลี่ยนไป จากการพัฒนาโครงการเดี่ยวๆสู่การพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินย่านใจกลางเมืองในปัจจุบันมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้นที่ดินแบบลิสโฮลด์ (เช่าระยะยาว) จึงเป็นที่จับตามองมากขึ้น ซึ่งที่ดินเหล่านี้มีขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ที่คิดจะพัฒนาอสังหาฯต้องมีการร่วมทุนกันมากขึ้น ในลักษณะรายใหญ่กับรายใหญ่

“โครงการเมกะโปรเจคที่จะเกิดขึ้นบนที่ดินเหล่านี้ จะทำให้แลนด์สเคปรวมไปถึงรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ เปลี่ยนไป โดยคาดว่าในช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้ จะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่เกิดใหม่บนที่ดินลีสโฮลด์และในรูปแบบลีสโฮลด์ มูลค่ารวมกันกว่า 5 แสนล้านบาท”นายประเสริฐ กล่าว

นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า ในอนาคตพื้นที่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯจะเต็มไปด้วยโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ดังเช่นในหลายๆเมืองใหญ่ของต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงนำมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชานเมือง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ เนื่องจากที่ดินผืนใหญ่ใจกลางเมืองที่เป็นแบบขายสิทธิ์ขาดมีราคาสูง ไม่สอดรับกับกำลังซื้อหลักของประเทศที่อยู่ในระดับกลาง ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยต้องขยับสู่พื้นที่นอกเมืองมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องหันไปซื้อที่ดินในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแทน

ด้านนายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า จากการประกาศแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นภายใน 5 ปีต่อนี้ ล่วนแต่เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่าโครงการหลายหมื่นล้านบาท ไม่นับรวมโครงการที่จะมีแผนพัฒนาในอนาคต ซึ่งหากโครงการเหล่านี้พัฒนาเต็มรูปแบบ เชื่อว่ากรุงเทพฯจะช่วยดึงนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก เพราะแต่ละโครงการมีจุดเด่นและความน่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานออกแบบหรือเทคโนโลยี

“สำหรับนักลงทุนต่างชาติมองว่าอสังหาริมทรัพย์บ้านเรายังถูกอยู่มาก ยิ่งมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสชนาดใหญ่ก็จะยิ่งช่วยดึงดูดนักลงทุน ประกอบกับการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าหลายเส้นทางจะแล้วเสร็จในช่วงเวลาดังกล่าว ยิ่งทำให้สร้างความน่าสนใจมากขึ้น”

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า โครงการมิกซ์ยูสที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แต่ยังมีปัจจัยบวกอื่นๆที่ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรม เช่น การขยายโครงการรถไฟฟ้าให้ได้ตามเป้าหมายการดำเนินงาน เนื่องจากเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยเอื้อต่อการเติบโตของกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างพันธมิตรกันมากขึ้น เพราะการพัฒนาโครงการเพียงลำพังอาจทำให้แข่งขันได้ยากขึ้น เนื่องจากโครงการที่จะเกิดในอนาคตล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,253 วันที่ 16 - 19 เมษายน พ.ศ. 2560