KEY
POINTS
ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในสัปดาห์นี้ บรรยากาศในตลาดการเงินทั่วโลกเต็มไปด้วยความหวังและความระมัดระวัง นักลงทุนรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับ “เดจาวู” เมื่อสหรัฐฯ แสดงสัญญาณว่าอาจจะบรรลุข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แลกกับการที่จีนจะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ข่าวนี้ทำให้เกิดแรงซื้อทั่วโลก ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 1% ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่นก็ขยับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี
ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำกลับลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มกล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น หันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง หลังจากเห็นแนวโน้มที่ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจนี้อาจจะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม ความหวังในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ตลาดเคยพบเจอในสมัยของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงสงครามการค้าปี 2019 หรือการประกาศภาษีรอบใหญ่เมื่อต้นปี 2025 ซึ่งทุกครั้งมักตามมาด้วยการ “ถอย” ของทรัมป์ในภายหลัง
อีฟลีน โกเมซ-ลีคติ นักกลยุทธ์จากมิตซูโฮ กล่าวไว้ว่า “ทุกครั้งที่ทรัมป์สร้างข่าวใหญ่ ตลาดจะมีการสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายมักจะจบลงด้วยท่าทีที่เป็นบวกเหมือนเดิม มันคือสิ่งที่วอลล์สตรีทเรียกว่า ‘TACO Pattern’ หรือ Trump Always Chickens Out ที่หมายถึง ทรัมป์มักจะขู่เสียงดัง แต่สุดท้ายมักจะยอมถอย”
สัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อทรัมป์ได้ออกมาขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 100% และจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ที่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการตอบโต้การควบคุมการส่งออกแร่หายากจากจีน แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ตลาดหุ้นจีนกลับเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่าการเจรจานี้อาจไม่จบลงอย่างรุนแรงอย่างที่ทรัมป์เคยพูดไว้
นักวิเคราะห์จาก Zurich Insurance Group มองว่า นักลงทุนบางส่วนที่เคยระมัดระวังเกี่ยวกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า เริ่มกลับเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง เนื่องจากเห็นโอกาสจากข่าวดีที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าการพบกันของผู้นำทั้งสองอาจจะไม่สามารถปิดฉากสงครามการค้าได้โดยสมบูรณ์ แต่การที่ความตึงเครียดลดลงก็น่าจะทำให้ตลาดตอบรับในทางบวก
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ โดยโธมัส คริสเตียนเซน หัวหน้าฝ่ายหนี้ตลาดเกิดใหม่ของธนาคาร Union Bancaire Privée ในลอนดอน กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีแรงกดดันทางการเมืองมากนักที่จะเสี่ยงให้ดีลล่ม “ถ้ามองในแง่ของเกมคณิตศาสตร์ มันก็เหมือนสถานการณ์นักโทษสองคน (prisoner’s dilemma) ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการหาทางตกลงกัน”
พร้อมกันนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจมีการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในสัปดาห์นี้ เพื่อกระตุ้นสภาพคล่องในระบบ ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมแรงซื้อในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ความร้อนแรงของหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็ทำให้บางนักลงทุนรู้สึกกังวลว่า หากผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด ตลาดอาจตอบสนองในทางลบได้รุนแรงกว่าที่คาด
เทรซี เฉิน ผู้จัดการพอร์ตจาก Brandywine Global กล่าวว่าขณะนี้ความเสี่ยงยังคงมีความไม่สมดุล เพราะตลาดมักจะตอบสนองต่อข่าวร้ายอย่างรุนแรงกว่าข่าวดี ขณะที่ Art Hogan จาก B. Riley Wealth เสริมว่า นักลงทุนคาดว่าโดยเฉลี่ยแล้ว สหรัฐฯ และคู่ค้าจะยังคงภาษีตอบโต้ที่ประมาณ 15% หากดีลใดดีลหนึ่งมีปัญหา ความเสี่ยงด้านลบจะสูงขึ้นทันที
บทเรียนในอดีตยังคงทำให้นักลงทุนรู้สึกหวั่นเกรง หลังการเจรจาที่นครเจนีวาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เริ่มต้นด้วยความหวังแต่จบลงด้วยความผิดหวัง จึงไม่น่าแปลกที่ธิเออร์รี วิซแมน จาก Macquarie จะเตือนว่า “ทั้งสองประเทศมีประวัติที่การเจรจามักจะไม่สำเร็จ แม้จะมีข้อตกลงเบื้องต้นแล้วก็ตาม” พร้อมสรุปว่า “ความตื่นเต้นในตลาดรอบนี้อาจจะไม่ยั่งยืน”