เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ ประกอบด้วย ผู้รายงานพิเศษด้านรูปแบบร่วมสมัยของการเป็นทาส และผู้รายงานพิเศษด้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงรัฐบาลไทย แสดงความกังวลต่อข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ซึ่งเชื่อมโยงกับอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จดหมายระบุว่า มีผู้คนจากหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ ถูกหลอกลวงและล่อลวงเข้าสู่ศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ มีลักษณะเป็นการค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน โดยเหยื่อส่วนใหญ่ถูกบังคับให้กระทำความผิด เช่น การหลอกลวงทางการเงิน การหลอกความสัมพันธ์ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และการพนันปลอม
การหลอกลวงเริ่มจากการโพสต์งานปลอมผ่านสื่อออนไลน์ เสนองานที่ดูน่าสนใจพร้อมรายได้สูง เมื่อเหยื่อเดินทางไปถึง กลับถูกควบคุมตัวในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อม มีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม รวมถึงถูกยึดหนังสือเดินทาง โทรศัพท์มือถือ และเอกสารประจำตัว ถูกกักตัว ถูกทำร้ายร่างกาย คุกคามทางเพศ และบังคับให้ทำงานเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนต่ำมาก หากพยายามหลบหนีหรือไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย จะถูกลงโทษหรือขายต่อไปยังศูนย์อื่น
จดหมายยังชี้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดผ่านสำคัญของการเดินทางของเหยื่อเข้าสู่ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทยกับรัฐกะเหรี่ยงในเมียนมา ใกล้แม่น้ำเมย และบางพื้นที่ยังใช้ทรัพยากรจากฝั่งไทย เช่น ระบบไฟฟ้า การสื่อสาร และความใกล้ชิดกับศูนย์การเงิน
ผู้รายงานพิเศษของ UN แสดงความกังวลต่อกรณีที่เหยื่อไม่ได้รับการระบุว่า เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และบางรายถูกดำเนินคดีหรือลงโทษในข้อหาที่เกิดจากการถูกบังคับให้กระทำความผิด เช่น การหลบหนีเข้าเมือง หรือความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างอยู่ภายใต้การควบคุมของศูนย์หลอกลวง
ในหนังสือ ได้ร้องขอให้รัฐบาลไทยให้ข้อมูลชี้แจงใน 10 ประเด็นหลัก ดังต่อไปนี้
ท้ายจดหมาย ผู้รายงานพิเศษย้ำว่า ประเทศไทยมีพันธกรณีตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR), พิธีสารปาแลร์โม (Palermo Protocol), อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (ACTIP) รวมถึงหลักการไม่ลงโทษเหยื่อ (Non-punishment Principle) และเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติตามพันธกรณีเหล่านี้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม จดหมายลักษณะเดียวกันได้ถูกส่งถึงรัฐบาลอีกหลายประเทศ ได้แก่ เมียนมา จีน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมถึงสำนักเลขาธิการอาเซียน