"ราคาทองคำ" ในไตรมาสแรกของปี 2025 พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ปริมาณทองคำที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลทั่วโลกกลับลดลงเหลือ 345 ตัน หรือลดลง 1% จากปีก่อนหน้า และลดลง 4% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2024
สถานการณ์นี้สะท้อนความย้อนแย้งในตลาดทองคำ เพราะโดยทั่วไปแล้ว ราคาทองที่สูงมักกระตุ้นให้มีการนำทองเก่ากลับเข้าสู่ระบบมากขึ้น แต่ในปีนี้กลับพบว่า การรีไซเคิลทองกลับลดลง โดยรายงานจาก สมาคมค้าทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงรายไตรมาสของราคาทองส่งผลต่อการรีไซเคิลมากกว่าระดับราคาเพียงอย่างเดียว
ในระดับประเทศ มีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน เช่น อินเดียมีปริมาณรีไซเคิลลดลงอย่างมาก แม้ว่าจะมีการนำทองเก่ามาแลกเป็นทองใหม่ และนำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ถูกรวมอยู่ในข้อมูลรีไซเคิล
ขณะที่เกาหลีใต้มีการรีไซเคิลเพิ่มขึ้น เนื่องจากความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมืองทำให้ราคาทองในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกถึง 17% ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการขายคืนทองเก่ามากขึ้น
ยุโรปโดยรวมมีระดับการรีไซเคิลค่อนข้างทรงตัว ยกเว้นเยอรมนีที่มีการนำทองเก่ากลับเข้าสู่ระบบในระดับสูงกว่าประเทศอื่น ส่วนสหราชอาณาจักรค่อนข้างเงียบในช่วงต้นไตรมาส ก่อนจะเริ่มมีการรีไซเคิลเพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม
จีนมีการลดสินค้าทองคำประเภททองคำบริสุทธิ์ 24 กะรัต (K ย่อมาจาก Karat หน่วยวัดความบริสุทธิ์ของทองคำ โดย 24K คือบริสุทธิ์ 99.99%) และทองผสม 18 กะรัต (เทียบเท่าทองคำ 75%) ออกจากสต็อก เพื่อเปลี่ยนไปขายเครื่องประดับที่น้ำหนักเบาและราคาต่ำกว่า ส่วนในไทย ปริมาณรีไซเคิลลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากฐานเปรียบเทียบเดิมอยู่ในระดับสูง
ปริมาณทองคำรีไซเคิลทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา
หากมองในกรอบสี่ไตรมาสติดต่อกัน ตัวเลขล่าสุดอยู่ในระดับใกล้เคียงจุดสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่ก็ยังไม่ถึงระดับสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในปี 2011–2012 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยที่ทำให้การรีไซเคิลไม่เพิ่มขึ้นตามราคาทอง
ได้แก่ ความคาดหวังว่าราคาทองจะยังปรับขึ้นต่อไป การที่มีการขายทองออกไปจำนวนมากแล้วในปีที่ผ่านมา ทำให้ทองที่เหลืออยู่ในมือผู้บริโภคลดลง รวมถึงสถานการณ์ในหลายประเทศที่ยังไม่รุนแรงพอจะทำให้เกิดการขายทองเพื่อสภาพคล่อง โดยเฉพาะในบริบทที่ทองคำยังถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลำดับสุดท้าย
เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1,206 ตัน โดยมีปริมาณการผลิตจากเหมืองสูงถึง 856 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาสแรกนับตั้งแต่มีการจัดเก็บข้อมูลในปี 2000 แม้จะลดลง 11% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล
ประเทศที่มีปริมาณการผลิตทองคำจากเหมืองเพิ่มขึ้น ได้แก่ ชิลี เพิ่มขึ้น 45% หลังเหมือง Salares Norte กลับมาดำเนินการตามปกติจากผลกระทบสภาพอากาศในปีก่อน กานา เพิ่มขึ้น 11% จากการขยายกำลังผลิตของเหมือง Bibiani และการเร่งเดินหน้าเหมือง Namdini ของ Shandong Gold แคนาดาเพิ่มขึ้น 4% จากการเดินหน้าเหมืองใหม่อย่าง Cote และ Greenstone และจีนเพิ่มขึ้น 2% เนื่องจากราคาทองที่สูงช่วยให้เหมืองที่มีแร่เกรดต่ำสามารถดำเนินการได้คุ้มทุน
ขณะเดียวกัน หลายประเทศมีการผลิตลดลง เช่น ตุรกี ลดลง 25% เนื่องจากการหยุดดำเนินงานของเหมือง Copler และแผนการผลิตของเหมือง Oksut อินโดนีเซีย ลดลง 16% จากการเปลี่ยนแผนการขุดของเหมือง Batu Hijau ที่เข้าสู่ระยะใหม่และต้องเร่งขุดหน้าดิน เม็กซิโก ลดลง 9% จากการหยุดดำเนินงานของเหมือง Los Filos และการปิดซ่อมบำรุงเหมือง Morelos และออสเตรเลีย ลดลง 3% จากการผลิตแร่เกรดต่ำตามแผนในหลายพื้นที่
ต้นทุนรวมของอุตสาหกรรมเหมืองทองคำ (All-in Sustaining Cost หรือ AISC) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1,438 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แม้ว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณแร่ที่ขุดได้มีคุณภาพสูงขึ้น แต่แรงกดดันด้านต้นทุนยังคงอยู่ โดยเฉพาะค่าสิทธิสัมปทานที่ผูกกับราคาทองคำ
ในภาคธุรกิจรีไซเคิล บริษัท Heraeus Precious Metals จากเยอรมนี เปิดตัว Circlear ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์โลหะมีค่ารีไซเคิล 100% ที่ได้รับการรับรองจาก TUV Sud โดยมุ่งลดการพึ่งพาการขุดแร่และลดการปล่อยคาร์บอน ขณะที่บริษัท Hensel Recycling ในสหรัฐฯ ได้เข้าซื้อกิจการ Red Fox Resources เพื่อขยายฐานลูกค้าในตลาดอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกของประเทศ
แม้ราคาทองคำจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่สองของปี 2025 แต่คำถามสำคัญคือ ตลาดรีไซเคิลจะตอบสนองหรือไม่ ภายใต้แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราว่างงานที่อาจทำให้เกิดการขายทองเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือความเชื่อมั่นในทองคำจะยังแข็งแกร่งจนทำให้ผู้ถือทองยังเลือกเก็บไว้ต่อไป
อ้างอิงข้อมูล