หลังจากใช้เวลากว่า 50 ปีในกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ลาวกำลังเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการ “เปลี่ยนผ่าน” ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของตน หากการประเมินในปี 2026 ผ่านไปด้วยดี
ลาวจะกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถ "ไต่ระดับ" ขึ้นจากกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดของโลกได้สำเร็จ แต่เส้นทางหลังจากนั้น จะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป
การพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุดจะนำมาซึ่งความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงการสูญเสียสิทธิประโยชน์ทางการค้าบางประการ การเข้าถึงเงินช่วยเหลือและเงินกู้แบบผ่อนปรนที่ลดลง และการลดลงของความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) และการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศ
มีการคาดการณ์ว่าลาวจะต้องเผชิญกับภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราเพดานการมีส่วนร่วมในองค์การสหประชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้นหลังจากการพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
ภาระหนี้สาธารณะ โครงการเพื่อโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้หนี้ต่างประเทศของลาวพุ่งสูงเกิน 100% ของ GDP บางปี หากเศรษฐกิจไม่โตเร็วพอ หนี้อาจกลายเป็นวิกฤต
ขณะที่การพึ่งพาการลงทุนจากจีน ซึ่งเป็นการพึ่งแหล่งทุนจากประเทศเดียวมากเกินไป ทำให้ลาวมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีน
ข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 สปป.ลาวมีหนี้สาธารณะ และหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันรวมทั้งสิ้น 1.38 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงเพียง 1% จากปีก่อนหน้า และคิดเป็น 108% ของจีดีพี ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล สปป.ลาว กว่าครึ่งหนึ่งซึ่งมีมูลค่า 1.05 พันล้านดอลลาร์ เป็นหนี้ของรัฐบาลจีน
ปี 2565 รัฐบาลของสปป.ลาวตั้งเป้าหมายในการลดอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลงประมาณ 5% ภายในปี 2568 คือ ให้ลดลงเหลือ 89% จาก 94% ผ่านความพยายามเพิ่มรายได้ ลดการกู้ยืมและการใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลคาดว่าภาระผูกพันจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงห้าปีข้างหน้า
โดยประมาณการว่าระหว่างปี 2567 ถึง 2571 ยอดหนี้ที่ต้องชำระในสกุลเงินต่างประเทศรายปีจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่การพัฒนาที่ยังไม่ทั่วถึง หากการเติบโตกระจุกตัวในบางเมืองใหญ่เท่านั้น อาจนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
ด้านการพึ่งพาการส่งออกสินค้าพลังงาน แม้พลังงานจะเป็นสินค้าหลักของลาว แต่ราคาพลังงานโลกผันผวนสูง และอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ รัฐบาลลาวและประชาชนยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความพึ่งพาตนเองในปีต่อไป ลำดับความสำคัญได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และการเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของลาว ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งยุทธศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานกำลังมาแรง แม้จะมีความเสี่ยงหลายด้าน แต่ลาวมีจุดแข็งที่น่าสนใจ
ศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอาเซียน โครงการรถไฟลาว-จีน และการเชื่อมโยงเส้นทางพาณิชย์ใหม่ ๆ ทำให้ลาวสามารถใช้จุดยุทธศาสตร์กลางภูมิภาคเชื่อมจีน-ไทย-เวียดนาม-กัมพูชา การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากรถไฟ ยังมีโครงการพลังงาน น้ำ และนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังพัฒนา
ขณะเดียวกันความร่วมมือกับจีน โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ทำให้ลาวได้รับเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากในด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากบริหารอย่างเหมาะสม แต้มต่อนี้สามารถผลักดันเศรษฐกิจลาวให้ขยายตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง
อ้างอิงข้อมูล