สิงคโปร์เริ่มโครงการ "คาสิโนรีสอร์ท" เฟส2 มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบนเกาะเซนโตซา

04 มิ.ย. 2567 | 00:25 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2567 | 01:35 น.

สิงคโปร์ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” รับไม้ต่อมาจากรัฐบาลชุดเก่า นั่นคือการเดินหน้าโครงการคาสิโนรีสอร์ทระยะที่สอง มูลค่าการลงทุน 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่าสองแสนล้านบาท ดำเนินการโดยสองบริษัทใหญ่ มารินา เบย์ แซนด์ส และเกนติ้ง สิงคโปร์  

KEY

POINTS

  • สิงคโปร์ภายใต้การนำของนายกฯ คนใหม่ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” รับไม้ต่อจากรัฐบาลชุดเก่า เดินหน้าโครงการคาสิโนรีสอร์ทระยะที่สอง มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • นี่คือการลงทุนขนาดมหึมาที่คิดเป็นเงินไทยกว่าสองแสนล้านบาท ดำเนินการโดยสองบริษัทใหญ่ "มารินา เบย์ แซนด์ส" และ "เกนติ้ง สิงคโปร์"
  • สิงคโปร์คาดหมายว่า คาสิโนรีสอร์ททั้งเฟสหนึ่งและสอง จะทำรายได้ให้ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนราว 1% ถึง 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อปี

เมื่อ นายลอว์เรนซ์ หว่อง ขึ้นเป็นผู้นำของ สิงคโปร์ เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้นำครั้งแรกในรอบ 20 ปีของประเทศสิงคโปร์ หนึ่งในมรดกที่สืบทอดมาจากยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ได้กลับคืนสู่ความสนใจของผู้คนอีกครั้ง นั่นก็คือ โครงการคาสิโนรีสอร์ท ที่กำลังเปิดฉาก การพัฒนาระยะที่สอง

ภายใต้การนำของลี เซียนลุง สิงคโปร์มีแผนการพัฒนาคาสิโนรีสอร์ทสองแห่งที่จะบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อหวังส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยแห่งแรกนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2553 กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เอาไว้เมื่อปี 2562 ว่า คาสิโนรีสอร์ททั้งสองแห่งนี้จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่า โครงการดังกล่าวจะทำรายได้ให้สิงคโปร์คิดเป็นสัดส่วนราว “1% ถึง 2%” ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อปี และนับตั้งแต่การเปิดตัวของเฟสแรก จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสิงคโปร์เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 19.1 ล้านคนในระยะเวลา 10 ปี นับจนถึงปี 2562

เฟสสองกำลังจะเริ่มขึ้นในปีนี้ 

ขณะนี้ โครงการระยะที่สอง หรือเฟสสองของ โครงการคาสิโนรีสอร์ท ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นส่วนขยายขนาดใหญ่ของโครงการแรก กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ด้วยมูลค่าการลงทุนร่วมๆ 10,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยกว่า 2.72 แสนล้านบาท)

ภาพจำลองโครงการคาสิโนรีสอร์ทเฟสสองบนเกาะเซนโตซาของบริษัท เกนติ้ง สิงคโปร์ (ภาพจากเกนติ้ง สิงคโปร์ /นิคเคอิ เอเชีย)

บริษัท เกนติ้ง สิงคโปร์ (Genting Singapore) ซึ่งเป็นของทุนมาเลเซีย ผู้ดำเนินโครงการ Resorts World Sentosa บนเกาะเซนโตซาได้ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า จะยื่นประมูลงานก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการภายในเดือนกันยายน โดยคาดว่า การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ และเมื่อการก่อสร้างโรงแรมใหม่สองแห่งแล้วเสร็จ จะเพิ่มจำนวนห้องพักให้กับเกาะเซนโตซาซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของสิงคโปร์อีก 700 ห้อง

ส่วนรีสอร์ทอีกแห่งของโครงการนี้ จะลงทุนและดำเนินการโดย บริษัท มารีนา เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากอาคารสามหลังที่มีสวนอยู่บนดาดฟ้ารูปร่างคล้ายเรือ โดยบริษัทจะสร้าง “อาคารที่สี่” ซึ่งเป็นโรงแรมในเร็วๆนี้ 

รายงานข่าวระบุว่า ลาสเวกัส แซนด์ส ที่เป็นบริษัทแม่ของมารีนา เบย์ แซนด์ส ประกาศเมื่อเดือนเมษายนว่า การก่อสร้างจะเริ่มในเดือนกรกฎาคมปีหน้า (2025) นอกจากส่วนของโรงแรมแล้วที่นี่ยังจะมีสนามกีฬาใหม่ 15,000 ที่นั่งซึ่งสามารถใช้จัดงานอีเวนท์ใหญ่ๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคม ปี 2029

มารีนา เบย์ แซนด์ส จะก่อสร้าง "อาคารที่สี่" ของกลุ่มตึกทรงเรือ เป็นทั้งโรงแรม สถานบันเทิง รวมทั้งคาสิโน

นิคเคอิ เอเชีย สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานว่า ในส่วนคาสิโนของทั้งสองรีสอร์ทซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน โดยมารีน่า เบย์ แซนด์ส ได้รับอนุมัติให้สร้างพื้นที่คานิโสเพิ่มเติม 2,000 ตร.ม. และขณะที่เกนติ้ง สิงคโปร์ ได้รับพื้นที่เพิ่มเติม 500 ตร.ม.

ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้อนุมัติแผนขยายธุรกิจดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2562 แต่การดำเนินการล่าช้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ความล่าช้าดังกล่าวทำให้ต้นทุนการลงทุนสำหรับโครงการส่วนขยายในเฟสสอง ขยับสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อด้วย โดยในปี 2562 เคยมีการคำนวณเม็ดเงินลงทุนไว้ที่ 4,500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อโครงการ ตอนนี้ตัวเลขการลงทุนในส่วนของเกนติ้งฯ ขยับขึ้นประมาณ 50% เป็น 6,800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่ในส่วนของแซนด์สฯ แม้ไม่ได้ระบุตัวเลขชัดเจน แต่ก็ระบุในเอกสารโครงการที่ยื่นในปีนี้ว่า คาดหมายต้นทุนก่อสร้างโครงการจะเกินตัวเลขที่คำนวณไว้เดิมอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยสาเหตุจากอัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนวัสดุและแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินการทั้งสองราย (ทั้งเกนติ้งและมารินา เบย์ แซนด์ส) กำลังเดินหน้าดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ เนื่องจากการลงทุนในสิงคโปร์ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อพอร์ตการลงทุนทางธุรกิจของบริษัท

แผนการรุกขยายธุรกิจคาสิโนในเอเชีย

ข่าวระบุว่า แซนด์สฯ นั้น ขายคาสิโนในลาสเวกัสมาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อเบนเข็มการลงทุนมามุ่งเน้นที่ภูมิภาคเอเชีย ในไตรมาสเดือนมกราคม-มีนาคมปีนี้ ธุรกิจในสิงคโปร์ของบริษัท สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ส่วนเกนติ้งฯเอง ก็ยอมรับว่า ธุรกิจในสิงคโปร์นั้น ทำรายได้แซงหน้าธุรกิจของบริษัทในประเทศบ้านเกิดอย่างมาเลเซียไปแล้ว

นิคเคอิ เอเชียรายงานว่า ผู้ให้บริการทั้งสองรายนี้ ยังพยายามขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียด้วย แต่ก็พบว่าเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่นกรณีของแซนด์สฯที่พยายามขยายธุรกิจคาสิโนเข้าไปในประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนผลักดันให้ธุรกิจคาสิโนเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ต้องล้มเลิกแผนนั้นไปในปี 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19

ต่อมาในปี 2564 เมืองโยโกฮามา ที่เคยยื่นเสนอขอเป็นเมืองรองรับธุรกิจคาสิโนของญี่ปุ่นในขณะนั้น ก็ได้ถอนแผนเกี่ยวกับธุรกิจคาสิโนออกไปเช่นกัน และในช่วงเวลาดังกล่าว เกนติ้งฯ ที่สนใจเข้าไปทำธุรกิจคาสิโนในญี่ปุ่น ก็ได้พับแผนยื่นประมูลของตัวเองไปด้วย

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สื่อหลายแห่งยังรายงานเกี่ยวกับแผนพัฒนา “รีสอร์ทแบบบูรณาการ” ที่รวมธุรกิจท่องเที่ยวและคาสิโนในรัฐยะโฮร์ทางตอนใต้ของมาเลเซีย ใกล้ชายแดนสิงคโปร์ แต่ต่อมานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้อย่างแข็งขัน เพราะในประเทศที่ชาวมุสลิมมีสัดส่วนมากกว่า 60% ของประชากรทั้งประเทศอย่างมาเลเซีย การจัดตั้งสถานคาสิโนแห่งใหม่มีความเสี่ยงสูงทางการเมือง เนื่องจากกฎหมายอิสลามห้ามการพนันทุกรูปแบบ

สำหรับประเทศไทยที่กำลังพิจารณาจะทำให้คาสิโนถูกกฎหมาย บรรดาผู้ประกอบการคาสิโนเองดูเหมือนจะระมัดระวังเมื่อถามถึงความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยและประเทศอื่นๆหรือไม่ โดยนายลิม ก๊อก เทย์ (Lim Kok Thay) ประธานบริษัทเกนติ้งฯ กล่าวในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า กระบวนการประมูลนั้น "ใช้เวลานานมาก" นอกจากนี้ ยังเสริมว่า การตัดสินใจของบริษัทที่จะไม่ดำเนินโครงการในญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ข่าวด้านการพนันในสหรัฐอเมริกา agbrief.com รายงาน ว่า นายร็อบ โกลด์สตีน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาสเวกัส แซนด์ส (Las Vagas Sands) บริษัทบริหารบ่อนการพนันรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า สนใจในการลงทุนคาสิโนถูกกฎหมายในไทยภายใต้โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) 

โดยนายร็อบตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดคาสิโนในประเทศไทยอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าในญี่ปุ่น หลังนักวิเคราะห์บางคนชี้ให้เห็นว่าคาสิโนแห่งแรกในประเทศไทยน่าจะสามารถเปิดได้ในปี 2572 ก่อนหน้า MGM Osaka ในญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2573

ข้อมูลอ้างอิง