เทียบนโยบาย-จุดเด่น-จุดด้อย 3แคนดิเดตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย

14 ก.พ. 2567 | 08:43 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.พ. 2567 | 09:16 น.

การเลือกตั้งทั่วประเทศอินโดนีเซียในวันนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในโลก ด้วยขนาดของการเลือกตั้งที่มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเกือบ 205 ล้านคน หน่วยเลือกตั้งกว่า 8 แสนแห่ง! ต่อไปนี้คือ จุดอ่อน-จุดแข็ง และนโยบายของ 3 แคนดิเดตประธานาธิบดี

 

ก่อน เปรียบเทียบจุดอ่อน-จุดแข็ง และนโยบายหาเสียง เรามาดูกันว่า 3 แคนดิเดต ที่ลงสนามเลือกตั้ง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ของ อินโดนีเซีย นั้นมีใครบ้าง

สำหรับเต็งหนึ่งที่คะแนนนำในการสำรวจของหลายโพลคือ พล.ท. ปราโบโว ซูเบียนโต จากพรรคขบวนการอินโดนีเซียยิ่งใหญ่ (Great Indonesia Movement Party) หรือในชื่อภาษาท้องถิ่นว่า พรรคเกอรินทรา (Gerindra) อีกสองคนคือ นายกันจาร์ ปราโนโว อดีตผู้ว่าการจังหวัดชวากลาง จากพรรคพีดีไอ-พี (PDI-P หรือในชื่อเต็มว่า พรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย-การต่อสู้) ซึ่งเป็นพรรคเดียวกันกับนายโจโค วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และ นายอานิส บาสเวดาน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ลงสมัครในนามอิสระ

ในการเปรียบเทียบจุดอ่อน-จุดแข็งรายบุคคลของ 3 แคนดิเดต ซึ่ง 1 ในนั้น คือว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ประมวลภาพเอาไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสามคน (จากซ้ายไปขวา) นายปราโบโว ซูเบียนโต นายกันจาร์ ปราโนโว และนายอานีส บาสเวดาน

 

นาย ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto)

จุดแข็ง

  • ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ทศวรรษ 2010 ทำให้ได้ใจประชาชนในต่างจังหวัดและคนรุ่นใหม่
  • ได้ฐานเสียงจากผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโจโค วิโดโด เนื่องจากได้ลูกชายคนโต คือนายยิบราน รากาบูมิง รากา มาเป็นผู้ร่วมทีม ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
  • ประกาศจุดยืนสานต่อนโยบายของประธานาธิบดีโจโค วิโดโด

จุดอ่อน

  • ภาพจำของการเป็นนายทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอำนาจนิยมของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต ซึ่งเป็นพ่อตาทำให้คนอายุเกิน 40 ปี ในเขตเมืองใหญ่ไม่ไว้วางใจเขา

นาย กันจาร์ ปราโนโว (Ganjar Pranowo)

จุดแข็ง

  • ภาพจำของประชาชนในเรื่องเป็นคนติดดิน เข้าใจเงื่อนไขของคนยากจน
  • ภาพจำในการต่อต้านการคอร์รัปชัน

จุดอ่อน

  • สังกัดพรรด PDI-P ซึ่งถูกพิจารณาว่า ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบุคคลมากบารมีอย่างอดีตประธานาธิบดีเมกาวาตี (ซึ่งเป็นบุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โน) ซึ่งคนรุ่นใหม่พิจารณาว่า มีความใกล้ชิดและโน้มเอียงเลือกข้างมหาอำนาจตะวันตก

 

นายอานิส บาสเวดาน (Anies Baswedan)

จุดแข็ง

  • วางตำแหน่งตนเองและทีมงานเป็นคนรุ่นใหม่มีภาพของนักวิชาการ และมีวิสัยทัศน์ระดับนานาชาติ

จุดอ่อน

  • +ผลงานไม่เข้าตาประชาชนในสมัยเป็นผู้ว่าการฯ กรุงจาการ์ตา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาฝุ่นละอองหมอกควัน และการรับมือ COVID-19
  • ถูกพิจารณาว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีภาพนักวิชาการที่ยังไม่เข้าใจสังคมและบริบทของอินโดนีเซียที่แท้จริง

 

ส่วน นโยบายหาเสียงของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ทั้งสามคน รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ได้ประมวลภาพนโยบายของทั้งสามแคนดิเดตในด้านต่างๆ ดังนี้

นายปราโบโว ซูเบียนโต

นโยบายของนายปราโบโว ซูเบียนโต

ด้านการศึกษา

  • จะจัดสรรงบประมาณของรัฐในการลงทุนด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรม และสนับสนุนกิจการของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่ 1.5-2.0% ของจีดีพีในระยะเวลา 5 ปี

ด้านสาธารณสุข

  • สนับสนุนแนวคิด Universal Coverage Healthcare
  • เน้นการพัฒนาโภชนาการ สุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็กก่อนวัยเรียน

ด้านการจ้างงาน

  • สนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำต่อยอดจากการผลิตวัตถุดิบขั้นต้น
  • ตั้งเป้าหมายสร้างตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 19 ล้านตำแหน่ง

ด้านการต่อต้านการคอร์รัปชัน

  • สร้างระบบการทำงานของพนักงานของรัฐให้ไม่มีจุดรั่วไหล
  • เพิ่มรายได้ให้กับพนักงานของรัฐเพื่อลดการคอร์รัปชัน
  • สร้างสมตุลระหว่างการป้องกันและการปราบปรามการคอร์รัปชัน

ด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

  • เน้นการเฝ้าระวัง และปราบปราม mis-/disinformation และ hate speech
  • มองว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นกลไกสำคัญในการสร้างระบบการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐ

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • เน้นประเด็นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พลังงานทางเลือก เพื่อต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ

 

นายกันจาร์ ปราโนโว

นโยบายของนายกันจาร์ ปราโนโว

ด้านการศึกษา

  • โครงการให้ภาครัฐสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อสร้าง 1 บัณฑิตระดับปริญญาตรีในทุกๆ 1 ครอบครัว
  • เน้นส่งเสริมการศึกษาผ่านระบบ Digital และเครือข่าย
  • สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้การสร้างนวัตกรรม
  • เพิ่มรายได้ให้กับบุคลากรภาคการศึกษา

ด้านสาธารณสุข

  • สนับสนุนแนวคิด Universal Coverage Healthcare
  • โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 สถานบริการด้านสาธารณสุข

ด้านการจ้างงาน

  • เน้นการวางแผนประชากรและกำลังแรงงาน
  • สนับสนุนผู้ประกอบการขนาดย่อม และสนับสนุนภาคเอกชนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนอินโดนีเซียออกจากกับดักรายได้ปานกลาง
  • ลงทุนเพิ่มในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะดิจิทัล และเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน

ด้านการต่อต้านการคอร์รัปชัน

  • ใช้เทคโนโลยีเพื่อจับการทุจริต

ด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

  • สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นให้กับเครือข่ายประชาชน

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • สนับสนุน ส่งเสริม พลังงานทางเลือก

 

นายอานิส บาสเวดาน

นโยบายของนายอานิส บาสเวดาน

ด้านการศึกษา

  • สนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้มากขึ้นดดยลดค่าเล่าเรียนผ่านการอุดหนุนโดยภาครัฐ
  • ภาครัฐต้องลงทุนมากยิ่งขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ลงทุนในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ โรงปฏิบัติงาน และห้องสมุด โดยเฉพาะกับสถานศึกษาที่ยังไม่มีอุปกรณ์และสถานที่

ด้านสาธารณสุข

  • ขยายความคุ้มครองในการดูแลสุขภาพประชาชนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
  • ปรับปรุงให้บริการสาธารณสุขเป็นเรื่องฟรี เข้าถึงได้โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น และเชื่อถือได้

ด้านการจ้างงาน

  • วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจใน 14 เมืองเป้าหมายเพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลางสู่การจ้างงานที่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • รัฐต้องมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการเข้ามาแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมในเขตเมือง

ด้านการต่อต้านการคอร์รัปชัน

  • เพิ่มอำนาจ และเพิ่มความเป็นอิสระให้กับหน่วยงานปราบปรามคอร์รัปชัน (KPK)
  • ให้ KPK ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายได้ในทุกระดับ

ด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

  • สนับสนุนการแสดงออกทางความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกับกลุ่มนักวิชาการ
  • ปรับแก้กฎหมายเพื่อสนับสนุนการแสดงออกทางความคิดเห็นและการชุมนุม

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • สนับสนุนให้นักเทคโนแครตมีบทบาทในการวางยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
  • ไม่ไว้ใจให้กลุ่มธุรกิจเป็นผู้เข้ามาจัดการประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม
  • ยอมรับว่าอินโดนีเซียมีปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม และต้องการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

 ใครจะนอนมา หรือมาแบบม้ามืดหักปากกาเซียน เราคงต้องรอคอยผลการนับคะแนนซึ่งกว่าจะประกาศผลอย่างเป็นทางการ อาจใช้เวลานานถึง 35 วัน (ซึ่งเป็นเวลาสูงสุดที่กฎหมายการเลือกตั้งกำหนด) แต่ถ้าเป็นผลการนับคะแนนแบบเร็วซึ่งจัดทำโดยสถาบันสำรวจของเอกชนที่ลงทะเบียนไว้กับทางการ หรือกลุ่มองค์กรสำรวจผลการเลือกตั้งที่ส่งอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่หลายพันคนไปเกาะติดการนับคะแนนและทำการสำรวจหน้าหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ ก็อาจได้ชื่อผู้ชนะเร็วกว่านั้น

เท่าที่ผ่านมา "การนับอย่างรวดเร็ว" (quick count) ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ ว่าผลการนับอย่างเป็นทางการจะออกมาเป็นอย่างไร