ทะเลแดงเดือด สหรัฐ-อังกฤษทิ้งบอมบ์ถล่มฮูตี หลังโจมตีเรือสินค้าไม่หยุด

12 ม.ค. 2567 | 05:50 น.

สหรัฐ-อังกฤษสนธิกำลังโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายหลายแห่งของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ตอบโต้การที่กลุ่มติดอาวุธดังกล่าวโจมตีเรือพาณิชย์ที่สัญจรในทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง ซีอีโอบริษัทขนส่งทางทะเล"เมอส์ก" ชี้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกำลังส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลกในภาพรวม

 

แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐซึ่งไม่เปิดเผยชื่อยืนยันว่า มี การโจมตีทางอากาศ ที่ตั้งของศูนย์บัญชาการของ กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน เกิดขึ้นจริง และมีรายงานเหตุระเบิดรุนแรงในกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศเยเมน รวมถึงเมืองอัล ฮูเดย์ดาห์ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของเยเมนด้วย

การโจมตีทางอากาศโดยกองกำลังของ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อทำลายฐานที่มั่นหรือจุดที่กลุ่มฮูตีใช้ในการโจมตีเรือใน ทะเลแดง และความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่คณะทำงานของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐออกคำเตือนถึงการดำเนินการตอบโต้ที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่กลุ่มฮูตีใช้โดรนและขีปนาวุธต่อต้านเรือมุ่งเป้าโจมตีเรือในทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญ

มีรายงานเหตุระเบิดรุนแรงในกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศเยเมน รวมถึงเมืองอัล ฮูเดย์ดาห์ ซึ่งเป็นเมืองท่า

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การโจมตีทางอากาศดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางเยือนตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งมีเป้าหมายเพื่อขอการสนับสนุนสำหรับการดำเนินการในเชิงรุกต่อกลุ่มฮูตี โดยนายบลิงเกนเน้นย้ำว่า หากการโจมตีในทะเลแดงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ก็จะมีผลพวงเกิดขึ้นตามมา และก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) กลุ่มฮูตีได้ยิงขีปนาวุธในอ่าวเอเดน ซึ่งนับเป็นการโจมตีเรือพาณิชย์ครั้งที่ 27 ของกลุ่ม นับตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 2566 เป็นต้นมา 

การโจมตีดังกล่าวนับเป็นการก่อเหตุครั้งรุนแรงที่สุดในช่วงหลายสัปดาห์ นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ซึ่งกองทัพอิสราเอลได้ตอบโต้ด้วยการบุกปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน และไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มฮูตีก็ได้เริ่มคุกคามเรือพาณิชย์ในทะเลแดง และยืนยันว่าจะไม่ยอมหยุด จนกว่าอิสราเอลจะยุติการโจมตีฉนวนกาซาซึ่งคร่าชีวิตประชาชนชาวปาเลสไตน์เป็นจำนวนนับหมื่นคนแล้ว

กลุ่มฮูตีในเยเมนยืนยันว่าจะไม่ยอมหยุดการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง จนกว่าอิสราเอลจะยุติการโจมตีฉนวนกาซา

การสู้รบอย่างต่อเนื่องในบริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นเส้่นทางเดินเรือเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น โดยล่าสุด นายวินเซนต์ เคลิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือรายใหญ่สัญชาติเดนมาร์ก กล่าวว่า การหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องของการเดินเรือสินค้าในทะเลแดงอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ในที่สุด

นายเคลิร์กระบุในความเห็นที่ส่งถึงหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สและยืนยันกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเส้นทางเดินเรือทางทะเลแดงจะกลับสู่ภาวะปกติได้เมื่อไหร่ อาจจะเป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน "กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทั่วโลก" ซีอีโอของเมอส์กกล่าว  

เมอส์กประกาศเตือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ม.ค.) ว่า บริษัทจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินเรือออกจากทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางไปยังคลองสุเอซของอียิปต์ และเป็นเส้นทางการเดินเรือที่เร็วที่สุดระหว่างยุโรปและเอเชีย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลในอนาคตอันใกล้

เรือของบริษัทเมอส์กจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่ยาวกว่าแทน ซึ่งก็คือเส้นทางรอบชายฝั่งทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ก่อนหน้านี้ นายเคลิร์กเคยกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เส้นทางอ้อมนี้อาจทำให้การเดินทางระหว่างยุโรปไปยังเอเชียใช้เวลาเพิ่มขึ้นถึง 2-4 สัปดาห์

ทั้งนี้ เมอร์สกและบริษัทขนส่งทางเรืออื่น ๆ อีกหลายแห่งกำลังเปลี่ยนเส้นทางเดินทะเลของตน เนื่องจากการโจมตีเรือโดยกลุ่มกบฏฮูตีเยเมน โดยผู้นำกลุ่มฮูตีอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา และแม้ว่าจะมีการจัดตั้งกองกำลังปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian) ที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรซึ่งนำเรือรบจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่การโจมตีในทะเลแดงยังคงดำเนินต่อไป

ทะเลแดงเดือด สหรัฐ-อังกฤษทิ้งบอมบ์ถล่มฮูตี หลังโจมตีเรือสินค้าไม่หยุด

อียิปต์เผยรายได้จากคลองสุเอซลดฮวบ 40% 

นายโอซามา ราบี ประธานองค์การคลองสุเอซ (SCA) เปิดเผยวานนี้ (11 ม.ค.) ระบุ รายได้ของอียิปต์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์จากคลองสุเอซลดลง 40% นับตั้งแต่ต้นปี เมื่อเทียบกับปี 2566 หลังการโจมตีเรือขนสินค้าโดยกลุ่มกบฏฮูตีของเยเมนทำให้ผู้ให้บริการขนส่งส่วนใหญ่เปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ

นายราบีเปิดเผยว่า การขนส่งทางเรือลดลง 30% ในช่วงระหว่างวันที่ 1-11 ม.ค. 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่จำนวนเรือที่สัญจรผ่านคลองสุเอซลดลงสู่ระดับ 544 ลำในปีนี้ จาก 777 ลำในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คลองสุเอซเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญยิ่งสำหรับอียิปต์ โดยทางการได้พยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มรายได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการขยายคลองสุเอซในปี 2558 โดยการขยายคลองเพิ่มขึ้นอีกนั้นกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ

กลุ่มกบฏฮูตีของเยเมนได้ทำการโจมตีเรือพาณิชย์หลายลำในทะเลแดงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธฮามาสของปาเลสไตน์ในการสู้รบกับอิสราเอล

ด้วยเหตุนี้ ผู้ส่งสินค้าหลายรายจึงได้เปลี่ยนเส้นทางการขนส่งไปยังเส้นทางอื่น ขณะที่สหรัฐประกาศภารกิจระหว่างประเทศครั้งใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว โดยทำการลาดตระเวนในทะเลแดงและยับยั้งการโจมตีที่เกิดขึ้น

นายราบีกล่าวว่า มีเพียงเรือที่ต้องออกเดินทางในทันทีเท่านั้นที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ขณะที่เรือลำอื่น ๆ กำลังรอให้สถานการณ์มีเสถียรภาพมากกว่านี้

การสู้รบกับผลกระทบที่มีต่อราคาน้ำมัน 

ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% เช้าวันนี้ (12 ม.ค.) หลังมีรายงานว่า สหรัฐและพันธมิตรเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ณ เวลา 09.25 น.ตามเวลาไทยวันนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 1.76 ดอลลาร์ หรือ 2.44% แตะระดับ 73.78 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทั้งนี้ สหรัฐและอังกฤษทำการโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายต่าง ๆ ของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือพาณิชย์ซึ่งเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนส่งผลกระทบต่อการเดินเรือในทะเลแดง ส่วนการโจมตีทางอากาศครั้งล่าสุด เกิดขึ้นไม่นานหลังจากกองทัพเรืออิหร่านได้เข้ายึดเรือเซนต์นิโคลาส (St. Nikolas) ในอ่าวโอมานเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (11 ม.ค.) โดยเรือดังกล่าวเป็นเรือบรรทุกน้ำมันซึ่งอิหร่านเคยมีข้อพิพาทกับสหรัฐเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา

โดยสหรัฐได้กล่าวหาว่า เรือเซนต์นิโคลาสได้ละเมิดคำสั่งคว่ำบาตรของสหรัฐด้วยการขนส่งน้ำมันของอิหร่าน ทำให้เรือดังกล่าวต้องยอมให้สหรัฐยึดน้ำมันดิทั้งหมดบของอิหร่านที่อยู่ในเรือ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่าน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวของสหรัฐถือเป็นการ "ปล้น" น้ำมันของอิหร่าน และนำไปสู่การยึดเรือเซนต์นิโคลาสเมื่อช่วงเย็นวานนี้