สหรัฐระงับใช้ยาเอวูเชลด์ เตือนคนภูมิอ่อนแอป้องกันโควิดเป็นพิเศษ

29 ม.ค. 2566 | 22:14 น.

สหรัฐเตือนคนกลุ่มภูมิคุ้มกันอ่อนแอให้ป้องกันตัวจากโควิดเป็นพิเศษ หลัง FDA ถอนการอนุญาตใช้วัคซีน ‘เอวูเชลด์’ ที่ขาดประสิทธิภาพในการป้องกันโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่

 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของ สหรัฐอเมริกา เรียกร้องเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ (27 ม.ค.) ให้ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ใช้ “ความระมัดระวังเป็นพิเศษ” เพื่อหลีกเลี่ยง โรคโควิด-19 หลังจากที่สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐถอนการอนุญาตใช้วัคซีนเอวูเชลด์ (Evusheld) เนื่องจากไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์หลักที่กำลังแพร่ระบาดภายในประเทศ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า CDC ออกคำแนะนำดังกล่าว หลัง FDA ถอนการอนุญาตใช้วัคซีนเอวูเชลด์ซึ่งเป็นแอนติบอดีสำเร็จรูปที่ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากวัคซีนเอวูเชลด์ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่อันเป็นสายพันธุ์หลักที่กำลังแพร่ระบาดคิดเป็นสัดส่วน 95% ในสหรัฐขณะนี้ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ย่อย XBB ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อใหม่ราว 64% และสายพันธุ์ BQ ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อโควิดราว 31%

เมื่อยาที่ใช้อยู่ต้านทานไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้ 

ทั้งนี้ FDA ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนเอวูเชลด์ในสหรัฐเป็นครั้งแรกช่วงปลายปี 2564 เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีประวัติได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

FDA เพิกถอนการอนุญาตใช้ยาอีวูเชลด์ไปจนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อต้นเดือนม.ค.นี้ FDA ได้สั่งจำกัดการใช้วัคซีนเอวูเชลด์ เนื่องจากคาดว่า การใช้ยาดังกล่าวไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 หรือคราเคน (Kraken) ซึ่งทำให้เกิดความกังวล เนื่องจากเชื้อนี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค. FDA ไม่อนุญาตการใช้ยาเอวูเชลด์อีกต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม จากการที่ยานี้ไม่มีแนวโน้มที่จะสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์หลัก ๆ ที่แพร่ระบาดอยู่ในสหรัฐในปัจจุบัน

รู้จักเอวูเชลด์กันสักหน่อย

ในปี 2564 FDA อนุมัติการใช้ยาอีวูเชลด์เป็นกรณีฉุกเฉินในการป้องกันโควิดสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือผู้ที่แพ้ยาวัคซีนอื่นๆ อย่างรุนแรง โดยเอวูเชลด์นั้นเป็นยาสร้างสารภูมิต้านทานสังเคราะห์ ผลิตโดยบริษัทของบริษัทเวชภัณฑ์ แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) 

ซึ่งขณะนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ FDA รับรองให้ใช้ยาป้องกันการติดโควิดเป็นการฉุกเฉิน โดยผลการทดสอบพบว่า ยาเอวูเชลด์มีประสิทธิผลในการป้องกันอาการโควิด-19 ได้ราว 77% แต่ยานี้ไม่ได้มาแทนการฉีดวัคซีนสำหรับบุคคลทั่วไป และ FDA อนุญาตให้ใช้เฉพาะกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์แท่านั้น เช่น มีอาการแพ้วัคซีนหรือมีอาการข้างเคียงอย่างรุนแรง โดยสามารถใช้ได้สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการป่วยรุนแรงจากการติดโควิด

ยาเอวูเชลด์ประกอบด้วยสารภูมิต้านทานสังเคราะห์สองประเภท และใช้วิธีฉีดให้กับผู้ป่วยเป็นจำนวนสองเข็มติดต่อกัน โดยสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีนี้จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโคโรนาไวรัสโดยมุ่งไปที่โปรตีนหนามของไวรัสนั้น

FDA ระบุว่า การใช้ยาดังกล่าวอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เป็นเวลาราว 6 เดือน อย่างไรก็ตาม มีคำเตือนว่ายานี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เกิดอาการแพ้ ปวดศีรษะหรืออ่อนเพลีย นอกจากนี้ ยังไม่อนุญาตให้ใช้ยานี้กับผู้ที่เคยติดเชื้อโคโรนาไวรัสมาก่อนแล้ว

CDC แนะนำอะไรบ้าง

ทั้งนี้ มาตรการป้องกันตนเองเป็นพิเศษสำหรับประชาชนกลุ่มภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ที่ CDC ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการควบคุมและป้องกันโรค แนะนำนั้น รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพสูง และการเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ในร่มที่มีผู้คนพลุกพล่านได้

รายงานข่าวระบุ แม้ว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในขณะที่การแพร่ระบาดของโรคโควิดได้ลดลง แต่ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคร้ายแรง เนื่องจากพวกเขาไม่ตอบสนองต่อวัคซีนในระดับที่แข็งแกร่ง

CDC ยังแนะนำด้วยว่า ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิดอยู่เสมอโดยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เนื่องจากการฉีดวัคซีนสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงได้

นอกจากนี้ ยังออกคำเตือนว่า หากผู้ใดมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและมีอาการของโรคโควิด ก็ควรเข้ารับการตรวจ “โดยเร็วที่สุด” และรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสภายใน 5-7 วัน

สำหรับประเทศไทย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติยาฉีดเอวูเชลด์เพื่อใช้ป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยอนุมัติขึ้นทะเบียนยาเอวูเชลด์ (Evusheld) ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ภายใต้การอนุญาตแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา (2565)  

ทั้งนี้ การอนุมัติดังกล่าวเพื่อใช้ป้องกันโรคโควิด-19 แต่ไม่ได้ใช้สำหรับการรักษาแต่อย่างใด และไม่ได้นำมาใช้แทนที่การสร้างภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน

อย.อนุมัติใช้ยานี้ในกลุ่มผู้ใหญ่ และวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ที่มีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัม และสำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ ควรแจ้งข้อมูลเบื้องต้นกับแพทย์ เช่น ประวัติการแพ้ยา ประวัติการรักษาโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร รวมถึงประวัติการได้รับวัคซีน เป็นต้น

และเช่นเดียวกันกับในต่างประเทศก็คือ เอวูเชลด์ไม่ได้ใช้ฉีดให้คนทั่วไป แต่ฉีดในกลุ่มที่มีปัญหาว่ารับวัคซีนไม่ได้เพราะแพ้รุนแรง หรือฉีดวัคซีนแล้วภูมิคุ้มกันไม่ขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม

ส่วนสถานการณ์โควิดในไทย ปัจจุบันการระบาดเริ่มอยู่ในช่วงขาลง และส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์ BA.2.75 แต่จะมีขาขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในสหรัฐ เช่นสายพันธุ์ XBB.1.5 หรือไม่นั้น ยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 

ข้อมูลล่าสุดจากการเฝ้าระวังต้นเดือนม.ค.นี้ ยังไม่พบสายพันธุ์ XBB.1.5 ในไทย โดยสายพันธุ์หลักที่พบในประเทศไทยขณะนี้เป็นสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BN.1.3 ซึ่งเป็นลูกหลานของ BA.2.75 แต่ก็มีข้อมูลความสามารถในการหลบภูมิและแพร่ระบาดเร็วใกล้เคียงกับ XBB.1.5 ในสหรัฐ 

ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง 

 

ข้อมูลอ้างอิง