สำนักข่าวซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐ รายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ ทะยานขึ้นเมื่อวันศุกร์ (27 พ.ค.) หลังรัฐบาลรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อ เริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อยแล้วในเดือนเม.ย.มาอยู่ที่ระดับ 8.3% หลังจากที่พุ่งขึ้นไป 8.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 41 ปี ทั้งนี้ เหตุผลการชะลอของเงินเฟ้อตัวส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ลดลง
นักวิเคราะห์ระบุว่า จากหลักฐานที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นมักจะขานรับในทางบวก เมื่อเงินเฟ้อส่งสัญญาณแตะระดับสูงสุดแล้ว
"เท่าที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมักร่วงลงขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกำลังจะปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุด เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา" ทีมนักวิเคราะห์ที่นำโดยชารอน เบลล์ระบุ "แต่หลังจากที่เงินเฟ้อแตะจุดสูงสุดแล้ว ตลาดหุ้นก็จะฟื้นตัว"
ในวิกฤตเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น 13 ครั้งนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2494 นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นในช่วง 12 เดือนต่อมาถึง 9 ครั้ง โดยในอดีตนั้น ตลาดหุ้นเคยพุ่งขึ้นมากที่สุดถึง 33.2% นับตั้งแต่เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในเดือนมี.ค. 2523 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเคยทรุดหนักสุด 17.3% นับตั้งแต่เงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดในเดือนม.ค. 2544 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับตัวซบเซาหลังจากภาวะฟองสบู่ดอทคอมแตก
"ในความเป็นจริง อัตราเงินเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดแล้วอาจจะช่วยหนุนตลาดขึ้น แต่ราคาหุ้นก็จำเป็นต้องมีปัจจัยอื่น ๆ มาสนับสนุนด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวที่รุนแรงขึ้น" ทีมนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ระบุ
ทั้งนี้ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นต่อการสนับสนุนตลาดหุ้นนั้น รวมถึง
ซึ่งปัจจัยทั้งหมดดังกล่าวล้วนแต่เป็นสิ่งที่ท้าทายในสภาวะปัจจุบัน เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 1.5% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาสแรก อีกทั้งมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น