ตะลึง! ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ไกลสุด มวลใหญ่กว่า-สว่างกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า

19 พ.ค. 2565 | 06:16 น.

นักดาราศาสตร์อเมริกันค้นพบดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ซึ่งควบคุมโดยองค์การอวกาศนาซ่า ดำเนินการในครั้งนี้  

นักวิจัยคาดการณ์ว่า ดาวฤกษ์ที่ค้นพบดวงใหญ่และอยู่ไกลโพ้นที่สุด ดวงนี้มีมวล 50 ถึง 100 เท่าของ ดวงอาทิตย์ และยังสว่างกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า 

 

ทั้งนี้ ต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี กว่าที่แสงจากดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกลนั้นจะเดินทางมาถึงโลก เมื่อคำนวณดูแล้วเชื่อกันว่าแสงของดาวฤกษ์นี้เดินทางมาเป็นเวลานาน 12,900 ล้านปีแล้วก่อนที่จะมาถึงโลกของเรา ซึ่งหมายความว่าดาวฤกษ์ดวงนี้มีมาตั้งแต่เอกภพมีอายุเพียง 7% ของอายุปัจจุบัน

 

นายไบรอัน เวลช์ หนึ่งในนักวิจัยคณะนี้ได้ตั้งชื่อดวงดาวที่มีความร้อนแรงและสว่างไสวนี้ว่า “เอียเรนเดล” (Earendel) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณหมายถึง “ดาวรุ่งอรุณ” หรือ “แสงที่เจิดจ้า”

ภาพจากนาซ่า

เวลช์ เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ในรัฐแมริแลนด์ และเป็นหัวหน้าการเขียนรายงานวิจัยที่อธิบายการค้นพบนี้ในวารสารเนเจอร์ (Nature) เขาเปิดเผยว่า สามารถมองเห็นดาวดวงนี้เหมือนกับเมื่อประมาณ 12,800 ล้านปีก่อน ซึ่งก็คือประมาณ 900 ล้านปีหลังจากปรากฏการณ์ Big Bang หรือการเกิด “ระเบิดครั้งใหญ่” ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าเป็นการกำเนิดของเอกภพหรือจักรวาล

 

เวลช์กล่าวว่า การค้นพบครั้งใหม่นี้เป็นความโชคดี แม้ว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์บนโลกจะสามารถมองเห็นแสงของมันได้ แต่ดาว Earendel เองก็ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากดาวฤกษ์ขนาดมหึมามักจะมีอายุสั้น ทั้งนี้ ดาวฤกษ์อาจมีอายุ 200 ถึง 300 ล้านปีก่อนที่จะดับสูญไปในการระเบิดของซุปเปอร์โนวา หรือการระเบิดของดาวฤกษ์

 

เจ้าของสถิติก่อนหน้านี้คือ Icarus ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่ถูกค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งเชื่อกันว่าก่อตัวขึ้นเมื่อ 9,400 ล้านปีก่อน

ภาพกลุ่มดวงดาวงามตะลึงจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล

ในทั้งสองกรณี นักดาราศาสตร์สามารถมองเห็นแสงจากดาวฤกษ์ได้เนื่องจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเลนส์โน้มถ่วง ซึ่งเป็นผลมาจากแรงโน้มถ่วงจากกลุ่มดาราจักรที่อยู่ใกล้กันระหว่างโลกกับดาวฤกษ์ ทั้งนี้ แรงโน้มถ่วงทำหน้าที่เสมือนเลนส์ที่ขยายวัตถุที่อยู่ห่างไกลในพื้นหลัง

 

กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้พบเห็นแสงจากกาแลคซีที่มีอายุประมาณ 400 ปีหลังจาก Big Bang แต่ดาวแต่ละดวงที่อยู่ในระยะทางไกลขนาดนั้นไม่สามารถระบุได้

 

เจน ริกบี นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ของนาซ่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยนี้ กล่าวว่า โดยปกติแล้ว ดาวเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นก้อน แต่ในครั้งนี้ธรรมชาติได้ให้ดาวที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ มาหนึ่งดวงเพื่อให้มนุษย์ได้ศึกษากัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นของขวัญจากจักรวาลเลยก็ว่าได้

 

นักดาราศาสตร์กล่าวว่า เอียเรนเดล (Earendel) อาจจะเป็นดาวหลักในระบบดาวที่ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์สองดวง หรืออาจเป็นระบบดาวสามดวงหรือสี่ดวงก็เป็นได้ เขาตั้งข้อสังเกตว่า มีโอกาสเล็กน้อยที่ดาวฤกษ์นี้อาจจะเป็นหลุมดำ แต่จากการสังเกตการณ์ที่รวบรวมไว้ในปี 2559 และ 2562 ชี้ให้เห็นว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

 

นักวิจัยกล่าวว่ากล้องโทรทรรศน์เจมส์ เวบบ์ ของนาซ่าน่าจะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวฤกษ์และดาราจักรต้นกำเนิดของมัน เนื่องจากกล้องโทรทรรศน์เจมส์ เวบบ์ นั้นทรงพลังกว่ากล้องฮับเบิลถึง 100 เท่า

 

ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์กล่าวปิดท้ายว่า การศึกษาดวงดาว จะทำให้มนุษย์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงต้นกำเนิดของพวกเขาและบรรพบุรุษ เพราะว่ามนุษย์ทั้งหลายนั้น ต่างล้วนเกิดขึ้นมาจากละอองบางส่วนของดวงดาวเหล่านี้

 

ข้อมูลอ้างอิง