จากเหตุการณ์ที่ ดัชนีดาวโจนส์ ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเมื่อวันพฤหัสฯ (5 พ.ค. ตามเวลาสหรัฐ) โดยมีการทรุดตัวลงกว่า 1,200 จุด หลุดระดับ 33,000 จุด และเป็นการร่วงลงของหุ้นทุกกลุ่ม โดย ณ เวลา 23.02 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,834.79 จุด ลบ 1,226.27 จุด หรือ 3.6% ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 4.11% และ ดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 5.31%
การทรุดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีการจับตาคำกล่าวที่ว่า "Sell in May and Go Away" ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ในปีนี้
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันว่า "Sell in May” คือปรากฏการณ์แบบไหน
"Sell in May and Go Away" หรือ "ขายหุ้นในเดือนพ.ค. ก่อนเผ่นออกจากตลาด" เป็นการแนะนำให้นักลงทุน “เทขายหุ้น” เพื่อทำกำไรจากการพุ่งขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.-เม.ย. ก่อนที่จะ “ถอนตัว” อยู่นอกตลาดในช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค.
ทั้งนี้ สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักมีผลตอบแทนค่อนข้างต่ำในช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค. โดยนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1946 เป็นต้นมา พบว่า ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเพียง 1.6% ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อเทียบกับ 6.8% ในช่วงเดือนพ.ย.-เม.ย.
เมื่อวันพุธ (4 พ.ค.) ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 900 จุด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ยืนยันว่า เฟด "ยังไม่ได้พิจารณา" ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.75%
แต่ถึงกระนั้น นักลงทุนก็ยังคงคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ แม้ว่านายพาวเวลล์จะปฏิเสธความเป็นไปได้ดังกล่าวแล้วก็ตาม
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group ยังบ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 75% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 14-15 มิ.ย.นี้ เพิ่มขึ้นจากระดับการให้น้ำหนัก 19% เมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมมากกว่า 2.00% ในปีนี้ (2565) ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐแตะระดับ 2.85% ในช่วงสิ้นปี
"เห็นได้ชัดว่า นักลงทุนที่ซื้อขายสัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าไม่ได้ฟังที่นายพาวเวลล์พูดเลย" สำนักวิจัยดาต้าเทรคระบุในทวิตเตอร์
นายคิม รูเพิร์ท กรรมการผู้จัดการของบริษัทแอคชั่น อิโคโนมิกส์ กล่าวให้ความเห็นว่า ถึงแม้นายพาวเวลล์ จะยืนยันว่าเฟดไม่ได้พิจารณาที่จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แต่ FOMC ก็จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ “และเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวที่ดีในปีนี้ จึงทำให้เฟดยังคงมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป" รูเพิร์ทกล่าว
ตลาดแรงงานน่าผิดหวัง ยิ่งเพิ่มแรงเทขาย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังส่งแรงเทขายในตลาดวานนี้ (5 พ.ค. ตามเวลาสหรัฐ) หลังผิดหวังต่อการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด ขณะที่ตัวเลขประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐดิ่งลงในไตรมาสแรก
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 19,000 ราย สู่ระดับ 200,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และเป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 182,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐดิ่งลง 7.5% ในไตรมาส 1/65 ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2490 หลังจากขยายตัว 6.3% ในไตรมาส 4/64
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานลดลง 5.4% ในไตรมาส 1/65
ทั้งนี้ ประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานเป็นการวัดผลผลิตรายชั่วโมงต่อแรงงาน 1 คน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนพากันจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 390,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ส่วนอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.5%
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.6% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7%