Die Hard ตัวจริง ปธน.กินีบิสเซา รอดตายเหลือเชื่อหลังกลุ่มมือปืนยิงถล่ม 5 ชม.

02 ก.พ. 2565 | 19:44 น.

เกิดเหตุรัฐประหารนองเลือดใน “กินีบิสเซา” ประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก ประธานาธิบดีรอดตายปาฏิหาริย์ หลังกลุ่มมือปืนสาดกระสุนต่อสู้กับหน่วยองครักษ์นานกว่า 5 ชม. ผลมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ

สื่อต่างประเทศรายงานวานนี้ (2 ก.พ.) ว่า ประธานาธิบดีอูมาโร ซิสโซโก เอ็มบาโล ผู้นำประเทศ กินีบิสเซา ซึ่งตั้งอยู่ใน แอฟริกาตะวันตก รอดตายหวุดหวิด หลังกลุ่มมือปืนได้สาดกระสุนดวลเดือดกับหน่วยองครักษ์ของเขานานกว่า 5 ชั่วโมงเมื่อวันอังคาร (1 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ 6 ศพ ซึ่งรวมถึงฝ่ายองครักษ์ของประธานาธิบดีและคนร้าย

 

ประชาคมแอฟริกาได้ออกมาประณามการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวครั้งนี้ แต่ตัวประธานาธิบดีเอ็มบาโลเองกลับระบุว่านี่อาจเป็นฝีมือของขบวนการค้ายาเสพติด

ประธานาธิบดีอูมาโร ซิสโซโก เอ็มบาโล

ประเทศกินีบิสเซามีประชากรเพียง 2 ล้านคน หลายปีที่ผ่านมา ประเทศยากจนแห่งนี้เคยเกิดการก่อรัฐประหารหรือความพยายามที่จะก่อรัฐประหารรวมครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งที่ 10 แล้วนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากโปรตุเกสเมื่อปี พ.ศ. 2517 และนับจากนั้นมา ก็มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่อยู่ครบเทอมได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น

ความพยายามก่อรัฐประหารครั้งล่าสุดเริ่มต้นเมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร (1ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น กลุ่มมือปืนพร้อมอาวุธหนักได้เข้าล้อมอาคารทำเนียบรัฐบาลในกรุงบิสเซา ซึ่งเป็นเมืองหลวง ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มบาโลและนายกรัฐมนตรีกำลังประชุมคณะรัฐมนตรีอยู่ กลุ่มมือปืนได้เปิดฉากยิงปะทะกับหน่วยองครักษ์ของประธานาธิบดียืดเยื้อกินเวลานานกว่า 5 ชั่วโมงจึงสงบลง

 

รัฐบาลเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วงคืนวันอังคาร ตัวประธานาธิบดีเองไม่ได้รับอันตรายจากแผนรัฐประหารนองเลือดดังกล่าวซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ เป็นสมาชิกของกลุ่มมือปืน 4 ศพ และเป็นหน่วยอารักขาประธานาธิบดี 2 ศพ

 

ปธน.เอ็มบาโลกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มต่อต้านการปราบปรามยาเสพติดและการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ใช่ความพยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจโดยทหาร "มันไม่ใช่การก่อรัฐประหาร แต่เป็นความพยายามฆ่าประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทุกคน" ประธานาธิบดีเอ็มบาโลวัย 49 ปีกล่าว และว่า การโจมตีครั้งนี้มีการเตรียมการและจัดตั้งมาเป็นอย่างดี และอาจเกี่ยวโยงกับพวกที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด

รัฐบาลเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว

ทั้งสหภาพแอฟริกาและประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ที่กินิบิสเซาเป็นสมาชิก รวมทั้งฝรั่งเศส ต่างประณามสิ่งที่ทั้งสององค์กรนี้เรียกว่า "ความพยายามก่อรัฐประหาร" เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความวิตกว่า กินีบิสเซาจะติด “โรครัฐประหาร” ในภูมิภาคนี้ด้วย เนื่องจากในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาได้เกิดการยึดอำนาจรวม 2 ครั้ง คือในประเทศมาลีเมื่อปี 2563 และครั้งหนึ่งในประเทศกินีเมื่อเดือนกันยายน 2564 ต่อมาล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กองทัพบูร์กินาฟาโซ ได้เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีโรช มาร์ก คริสเตียน คาโบเร

 

กินีบิสเซา เป็นประเทศรายได้ต่ำ ตั้งอยู่บนชายฝั่งแอฟริกาด้านตะวันตก ภูมิประเทศถูกขนาบด้วยประเทศกินีทางทิศใต้และประเทศเซเนกัลทางทิศเหนือ

 

เนื่องจากปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองและการทุจริตคอร์รัปชันทำให้ กินีบิสเซากลายเป็นศูนย์กลางของการส่งผ่านยาเสพติดอย่าง “โคเคน” จากลาตินอเมริกาไปยังทวีปยุโรป

 

อย่างไรก็ตาม สื่อรายงานว่า สถานการณ์ในเมืองหลวงเมื่อวันพุธ (2 ก.พ.) ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว โดยธนาคารและร้านค้าได้เปิดทำการ แต่ยังคงมีทหารลาดตระเวนตามท้องถนนและมีการตั้งเครื่องปิดกั้นถนนสายหลักที่เชื่อมย่านใจกลางเมืองกับสนามบิน ซึ่งตัดผ่านทำเนียบรัฐบาล จุดเกิดเหตุการยิงปะทะระหว่างหน่วยองครักษ์และกลุ่มมือปืนเมื่อวันอังคาร (1 ก.พ.)