EMA เตือน ฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นมากไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

20 มกราคม 2565

สำนักงานยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) เตือนว่า การฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น หรือ วัคซีนบูสเตอร์ มากเกินไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงได้ ซึ่งหมายความว่าวัคซีนบูสเตอร์เข็มต่อ ๆ ไปอาจใช้ไม่ได้ผล

มาร์โก คาวาเลรี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ด้านวัคซีนของ สำนักงานยาแห่งสหภาพยุโรป หรือ EMA (European Medicines Agency) เปิดเผยว่า การฉีดวัคซีนบูสเตอร์นั้นสามารถทำได้ 'หนึ่งหรือสองครั้ง' ในลักษณะเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดปีละครั้ง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรฉีดซ้ำบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

คาวาเวรี คือผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขคนล่าสุดที่ออกมาเตือนถึงการฉีดวัคซีนโควิด “เข็มที่สี่” เพื่อป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานความมั่นคงด้านสาธารณสุขของอังกฤษ กล่าวว่า "ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน" ที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มที่สี่ พร้อมยืนยันว่าวัคซีนเข็มที่สามก็เพียงพอในการปกป้องอาการรุนแรงจากโควิด-19 แล้ว

 

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เน้นย้ำว่า การจัดหาวัคซีนโดสแรกให้แก่ประเทศยากจนคือภารกิจสำคัญอันดับแรก มากกว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในประเทศที่ร่ำรวย

EMA เตือน ฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นมากไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

ก่อนหน้านี้ ปลายปีที่ผ่านมา (2564) นายเทดรอส อดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้ออกมากล่าวเตือนว่า โครงการฉีดวัคซีนบูสเตอร์แบบหว่านแหในประเทศร่ำรวยต่าง ๆ อาจสร้างความเสี่ยงให้การระบาดของโควิด-19 ยืดเยื้อออกไปในระยะยาว เพราะภารกิจสำคัญอันดับแรกคือการลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 และช่วยให้ทุกประเทศสามารถทำได้ตามเป้าหมายในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศตนเสียก่อน

"ผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลและผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ส่วนใหญ่คือคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ไม่ใช่คนที่ยังไม่ได้ฉีดเข็มบูสเตอร์" ผอ. WHO กล่าวและว่า "ไม่มีประเทศไหนสามารถระดมฉีดวัคซีนบูสเตอร์จนหลุดพ้นจากการระบาดครั้งนี้ได้"

 

นายเทดรอส กล่าวด้วยว่า แม้วัคซีนได้ช่วยรักษาชีวิตของผู้คนจำนวนมากได้ในปีที่ผ่านมา แต่การกระจายวัคซีนอย่างไม่เท่าเทียมก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโควิดจำนวนมากเช่นกัน พร้อมเตือนให้ระวังเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศด้วย

 

ก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องให้ระงับการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้กับประชากรวัยผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงไว้ก่อน เพื่อให้สามารถกระจายวัคซีนให้แก่ประเทศต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง พร้อมระบุว่า 20% ของวัคซีนโควิดที่แจกจ่ายกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเข็มบูสเตอร์

"การฉีดวัคซีนบูสเตอร์แบบหว่านแหจะยิ่งทำให้การระบาดยืดเยื้อออกไป เพราะเป็นการนำวัคซีนไปให้กับประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงอยู่แล้ว (แทนที่จะเป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ) ซึ่งยิ่งทำให้เชื้อไวรัสมีโอกาสแพร่กระจายและกลายพันธุ์ได้มากยิ่งขึ้น" นายเทดรอสกล่าว ทั้งยังเปิดเผยว่า

 

จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแอฟริการาว 75% ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประเทศสมาชิกของ WHO ราวครึ่งหนึ่งก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของตนได้ถึง 40% ภายในสิ้นปีที่ผ่านมา (2564)

EMA เตือน ฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นมากไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง แต่ถึงแม้ WHO จะออกมาเรียกร้องเช่นนั้น สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก ก็ยังคงเดินหน้าฉีด วัคซีนบูสเตอร์ ให้แก่ประชาชน โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนม.ค.นี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้ปรับคำแนะนำเกี่ยวกับระยะห่างในการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิ หรือ บูสเตอร์ ที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์และบิออนเทค ให้เหลือเพียง 5 เดือน จากเดิมระยะห่าง 6 เดือน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันเชื้อโควิดกลายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน ตาม

 

ทั้งนี้ CDC ได้ปรับคำแนะนำการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิของไฟเซอร์สำหรับชาวอเมริกันในวัยผู้ใหญ่ ตามหลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ หรือ FDA ที่ปรับคำแนะนำเดียวกันนี้ไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม CDC ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำแนะนำเรื่องระยะห่างของการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิชนิดอื่นๆ ที่ใช้อยู่ในสหรัฐ โดยยังคงคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) หลังฉีดครบโดสไป 2 เดือน และฉีดวัคซีนเข็ม 3 ของโมเดอร์นา (Moderna) หลังจากฉีดเข็มสองไปแล้ว 6 เดือนตามเดิม

 

นอกจากนี้ CDC ยังออกคำแนะนำการวัคซีนเข็ม 3 สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปีที่มีอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในระยะ 28 วันหลังจากได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

 

ปัจจุบัน วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัท ไฟเซอร์ที่พัฒนาร่วมกับบริษัท บิออนเทค เป็นวัคซีนเพียงชนิดเดียวที่ได้รับอนุญาตจาก FDA สหรัฐ ให้ใช้กับเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีในสหรัฐอเมริกา