อังกฤษพุ่ง! ติดโควิดวันเดียวทะลุ 90,000 ราย ตายจากโอมิครอนแล้ว 12 ราย

20 ธ.ค. 2564 | 23:03 น.

สธ.อังกฤษเผยสถิติน่าตกใจ ยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายวันทะยานกว่า 90,000 รายประเดิมต้นสัปดาห์ (20 ธ.ค.) ทำสถิติสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ที่โควิดอุบัติครั้งแรกในอังกฤษปี 63 ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า อังกฤษมีผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนแล้วจำนวนถึง 12 ราย

กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ เปิดเผยวานนี้ (20 ธ.ค.) ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบ ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวนถึง 91,743 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 11,453,121 ราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อินเดีย และบราซิล

 

ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ทะยานเพิ่มขึ้น 44 ราย สู่ระดับ 147,261 ราย

 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้คณะรัฐมนตรีอังกฤษเรียกประชุมฉุกเฉินเมื่อวันจันทร์ (20 ธ.ค.) เพื่อออกมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้ขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลัก นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลจะยังไม่มีการประกาศมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดครั้งใหม่ แต่นับจากนี้ไปจะจับตาดูสถานการณ์เป็นรายชั่วโมง

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ทั้งนี้ นายจอห์นสันกล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือกันเกี่ยวกับการออกมาตรการเพิ่มเติมจาก Plan B ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ โดยรัฐบาลจะรอดูข้อมูลใหม่ที่เข้ามาเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อ, ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต และรัฐบาลจะไม่ลังเลใจในการใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น หากมีความจำเป็น

 

สถิติล่าสุดชี้ให้เห็นว่า อังกฤษมีผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนแล้วจำนวนถึง 12 ราย และยังมีผู้ป่วยอีกกว่า 100 รายเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน เรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดยนายโดมินิก ร้าบ รองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยวานนี้ (20 ธ.ค.) ระบุ อังกฤษมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน 12 ราย และมีประชาชนอีก 104 รายที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน

 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของอังกฤษเตือนว่า อัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลอาจพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หากการแพร่ระบาดยังดำเนินต่อไปในระดับนี้

 

ข้อมูลอ้างอิง