WHO ชี้ยอดผู้ติดโควิดทั่วโลกจ่อทะลุ 200 ล้านรายได้ภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น

01 ส.ค. 2564 | 17:42 น.

องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 4 ล้านรายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหากอัตราการติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นในระดับนี้ต่อไป ยอดติดเชื้อโควิดทั่วโลกก็จะทะลุ 200 ล้านรายภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยในการแถลงข่าวที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 ก.ค.) ว่า หากจำนวน ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นตามระดับข้างต้น จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกก็จะพุ่งสูงเกิน 200 ล้านรายอย่างแน่นอน ซึ่งจะใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น

 

"นับตั้งแต่การแถลงข่าวครั้งล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดอาจทะลุเกิน 200 ล้านรายภายใน 2 สัปดาห์ และนั่นก็อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ"

นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO

ปัจจุบัน ณ วันที่ 1 ส.ค. ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทั่วโลกอยู่ที่ 198,497,926 ราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 4,232,079 ราย ( ข้อมูลจากเว็บไซต์ Worldometer ซึ่งรายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก)  

ทั้งนี้ การติดเชื้อโดยเฉลี่ยใน 5 ภูมิภาคจากทั้งหมด 6 ภูมิภาคของโลก เพิ่มขึ้น 80% หรือเกือบ 2 เท่าในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในแอฟริกาก็เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันนี้

 

รายงานระบุว่า ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนมากเป็นผลจากเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา (Delta) ที่แพร่เชื้อได้ง่าย และถูกตรวจพบว่ามีการแพร่ระบาดอยู่ในอย่างน้อย 132 ประเทศ ณ เวลานี้

 

 WHO เปิดเผยว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าที่ก่อโรคโควิด-19 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองเรื่อยมานับตั้งแต่มีการรายงานตรวจพบเชื้อเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา และมันจะยังคงมีการเปลี่ยนแปลง หรือกลายพันธุ์ต่อไปเรื่อย ๆ

 

ปัจจุบัน WHO ได้กำหนดเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล (Variant of Concern) จำนวน 4 สายพันธุ์ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นตราบเท่าที่เชื้อไวรัสยังคงแพร่กระจายต่อไป

 

นอกจากนี้ การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มทางสังคมและการเดินทางของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น สวนทางกับการบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขและสังคมที่เริ่มมีการผ่อนคลายมากขึ้นในหลายพื้นที่ รวมทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา