ในอดีต บ้านหลุมมะขาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เคยเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวที่พึ่งพาการปลูกอ้อยและมันสำปะหลังเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรม แม้สร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่การปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำๆ ส่งผลให้ดินเสื่อมโทรม แหล่งน้ำตื้นเขิน และระบบนิเวศเสียสมดุล
ปี 2544 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ ธ.ก.ส. ก้าวเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริม เกษตรแบบผสมผสาน หรือ วนเกษตร โดยสนับสนุนให้ชาวบ้าน ปลูกพืชแซมในป่าธรรมชาติ เลี้ยงสัตว์ในป่า และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่น ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดต้นทุนด้านปุ๋ยและสารเคมี พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลผลิตทางเกษตร
วรพจน์ นากวิกรัย รองประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านแปลงนกเป้า กล่าวว่า การทำเกษตรเชิงเดี่ยวทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำและมลพิษจากสารเคมี แต่เมื่อปรับมาสู่แนวทางวนเกษตร ช่วยลดปัญหาดินเสื่อมโทรม และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
สัมฤทธิ์ ศรีอ่ำ ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านแปลงนกเป้า ยืนยันว่า วนเกษตรช่วยให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเองมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายด้านปุ๋ยและยา อีกทั้งไม้ใหญ่ที่ปลูกแซมไว้ยังสามารถใช้สร้างบ้านเรือนและเพิ่มรายได้เสริม
วินัย สุวรรณไตร ผู้นำชุมชนบ้านหลุมมะขาม เน้นว่า การเปลี่ยนแนวคิดมาสู่การพึ่งพาตนเองโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการหมักปุ๋ยจากใบไม้ หรือการใช้เศษไม้ทำฟืนและถ่าน
เพื่อส่งเสริมแนวทาง "ต้นไม้คือทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าทุกวัน" ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนโครงการ ธนาคารต้นไม้ ซึ่งเกษตรกรสามารถปลูกและดูแลไม้มีค่าบนที่ดินของตนเอง โดยสามารถนำต้นไม้ที่ปลูกมาเป็นหลักประกันเงินกู้ เพิ่มมูลค่าที่ดิน และสร้างรายได้ที่มั่นคง
นอกจากนี้ โครงการ BAAC Carbon Credit ภายใต้มาตรฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ยังเปิดโอกาสให้ชุมชนขึ้นทะเบียนต้นไม้เพื่อนำไปขาย คาร์บอนเครดิต ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ
บ้านหลุมมะขามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การฟื้นฟูระบบนิเวศควบคู่กับการพัฒนาชุมชน สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้ ไม่เพียงช่วยให้ชุมชนมีรายได้มั่นคง แต่ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่น ใครที่ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสร้างโอกาสให้เกษตรกรไทย สามารถติดต่อฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ หรือโทร 02-555-0555