ทำความรู้จักสถานี NGV ปตท. โฉมใหม่ มีอะไรบ้าง?

28 มิ.ย. 2565 | 04:47 น.

NGV ให้เป็นสถานีนำร่องด้านพลังงานสะอาด พร้อมเสริมทัพร้านค้าและบริการที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล

ปัจจุบันแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทางปตท. ปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดย ปตท. ได้ปรับโฉมสถานี NGV จากเดิมที่ให้บริการหลักคือการจำหน่าย NGV สู่การเป็นสถานีนำร่องด้านพลังงานสะอาด และขยายจุดให้บริการ EV Charging Station ในสถานี NGV สร้างทางเลือกให้แก่กลุ่มผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และเพิ่มศักยภาพการใช้พื้นที่ภายในสถานีในรูปแบบ Mixed Use

สถานี NGV รูปแบบใหม่มีอะไร ?


- EV Charging Station
จุดให้บริการชาร์จไฟสำหรับรถ EV ในสถานีบริการ ซึ่งเป็นหัวชาร์จประเภทไฟฟ้ากระแสตรง DC ชนิด CCS-COMBO2 และความร่วมมือของปตท. ผนึกกำลังร่วมกับ โออาร์ ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้ารูปแบบ Quick Charge โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน EV Station Pluz ช่วยอำนวยความสะดวกทั้ง จอง ชาร์จ ชำระเงินพร้อม Call Center ให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง


- ติดตั้ง EV Solar Rooftop
บนหลังคาเกาะจ่ายและหลังคาธุรกิจเสริมทั้งหมด เพื่อเป็นต้นแบบสถานีประหยัดไฟ ซึ่งทาง ปตท. สนับสนุนพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

บริการทั้งหมดในสถานี NGV โฉมใหม่

เสริมทัพด้วยสินค้าและบริการเทคโนโลยีที่หลากหลายจากพันธมิตรทางธุรกิจของกลุ่ม ปตท. เช่น


    1.Vending Café 
    ตู้จำหน่ายขนมและเครื่องดื่มอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า


    2.กะทิสดสเตชั่น 
    ร้านไอศครีมกะทิสด ผลิตจากกะทิแท้คุณภาพสูงจากชุมชนและเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวทับสะแก สามารถนั่งทานในร้านหรือซื้อแบบ Take Away ได้


    3.Café Amazon
    ร้านประจำของเหล่านักเดินทาง กับบริการเครื่องดื่มและเบเกอรี่หลากหลายเมนู ด้วยรสชาติเครื่องดื่มและกาแฟที่เข้มข้น


    4.Swap & Go
    บริการแพลตฟอร์มการสลับแบตเตอรี่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แบบไม่ต้องรอชาร์จ เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ง่าย รวดเร็ว สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

 
    5.iPost
    บริการรับฝากพัสดุผ่านตู้อัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ปตท. และไปรษณีย์ไทย

 

ทั้งหมดนี้คือความพิเศษภายในสถานี NGV รูปแบบใหม่ ที่ทางปตท. มีแผนที่จะขยายจุดให้บริการภายในสถานีบริการ NGV แบบนี้อีก 9 แห่ง ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นจุดให้บริการแบบครบจบในที่เดียว ที่จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถ EV เพื่อสร้างระบบนิเวศของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยรองรับการเติบโตต่อไปในอนาคต