เวทีปราศรัยใหญ่พรรคก้าวไกล ที่จัดขึ้นวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ได้เริ่มปราศรัยในเวลา 18.00 น. ภายใต้แคมเปญ คำตอบสุดท้าย “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
เปิดเวทีด้วย นางสาวพรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกร ตามมาด้วย นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ,นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ,นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ตามลำดับ ก่อนจะปิดท้ายเวทีปราศรัยด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
นายพิธา กล่าวถึงการมารวมตัวกันที่นี่ ว่าเป็นเพราะทุกคนล้วนมีความฝันเหมือนๆกัน โดย อาคารกีฬาเวสน์ 1 เคยเป็นที่ที่ใช้ในการปราศรัยใหญ่ ของพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว การรวมตัวกันในวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่า ความฝันของทุกคนยังคงเข้มข้นดังเดิม
และคนที่ทำให้มีความฝันร่วมกันได้จนถึงวันนี้ ซึ่งเปรียบเหมือนคนที่จุดไฟในสายลม ก็คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช พร้อมระบุว่า จะเดินหน้าทำความฝันให้เป็นจริง ขอเป็นนายก 2 สมัย เพื่อรอวันที่ทั้ง 3 คนได้กลับมา
พร้อมกล่าวถึงการดำเนินนโยบายเพื่อความฝันที่เรียบง่าย เพื่อให้มีอากาศบริสุทธิ์ เอาไว้หายใจสำหรับภาคเหนือ ,มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ,บริหารปัญหาน้ำภาคอิสาน โดยไม่ให้หน้าแล้ง ขนน้ำไปหาคน หน้าฝนขนคนหนีน้ำ ,แก้ปัญหาภาคตะออก เรื่องกลิ่นเหม็นจากเหมือง และโรงงานขยะ ,แก้ปัญหาไฟป่า ให้ประชาชนภาคเหนือตอนบน
นายพิธา กล่าวถึงการจัดรัฐสวัสดิการให้กับคนในแต่ละรุ่น ว่า จะดูแลคนรุ่นใหญ่ ให้มากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ,ดูแลคนในวัยทำงาน และมีลูก ให้มีสังคมที่ดี มีรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน ,มีการกระจายนาจ ให้ทุกจังหวัดเลือกตั้งผู้ว่าฯ ของตนเอง ,ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้ได้ใช้ชีวิตเพื่อเริ่มต้นทำงาน หรือตามหาความฝัน ,คืนครูให้ห้องเรียน เปลี่ยนจากเรียนน้อยได้มาก เป็น เรียนเน้น ให้ได้มาก เป็นต้น ซึ่งความฝันที่เรียบง่ายเหล่านี้ ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก
สำหรับนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นายพิธากล่าวว่า จะต้องเป็นผู้ที่พร้อมจะแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคตใหม่ พาประเทศไทยออกจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยต้องยุติวงจรการรัฐประหารชั่วนิรันดร โดยปฏิรูปกองทัพ ให้อยู่ภายใต้พลเรือน เป็นกองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน มีทหารมืออาชีพ รวมถึงต้องคืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภา และระบบประชาธิปไตย ให้เกิดความเชื่อมั่นในนักการเมือง
นายพิธา กล่าวถึงแนวคิดเรื่องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้การเมืองดีขึ้น ขจัดการทุจริตของนักการ ซึ่ง 8 ปีที่ผ่านมาสะท้อนว่า ไม่ประสบความสำเร็จ และประชาธิปไตยไม่มีทางลัด
นายพิธาชี้ว่า กระแสที่เกิดขึ้นขณะนี้ เปรียบเหมือนสายลมที่พัดมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ขึ้นอยู่กับว่าจะสร้างกังหันลม หรือกำแพง เพื่อการแก้ปัญหาอันเกิดจากคนรุ่นเก่าที่สร้างไว้ จึงควรใช้วุฒิภาวะในการแก้ปัญหา ไม่ยัดคดี ม.112 ให้คนเห็นต่าง แต่ควรพิจารณาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากคนรุ่นเก่าที่ได้กระทำไว้ในอดีต
พร้อมระบุว่า เป็นภารกิจของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ที่จะต้องแก้ปัญหาดังกล่าวให้ดีขึ้น ต้องสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่สามารถวางพระราชอำนาจ และพระราชฐานะอย่างปราณีต เพื่อให้ความสัมพันธ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ประชาชนดีขึ้น
ในตอนท้าย นายพิธาได้เน้นย้ำ ถึงการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจปากท้องให้กับคนทุกกลุ่ม ,แก้ปัญหาที่ดินทำกินให้กับประชาชน ซึ่งมีคดีเกี่ยวกับการรุกที่ มากกว่า 80,000 คดี ในยุคคสช. ,แก้ปัญหาด้านการจ้างงาน เน้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ ฉะนั้น จึงต้องเลือกพรรคที่นโยบายมีความชัดเจน ตรงไปตรง เช่นพรรคก้าวไกล
"เพราะฉะนั้น วันนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีให้กับคนไทยทุกคนในประเทศ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็จะยังเป็นนายกรัฐมนตรีของท่าน และพร้อมที่จะรับใช้ท่าน ไม่ว่าจะเลือกผมหรือไม่ และจะฟัง จะเรียนรู้ จากคนที่เห็นต่าง เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้น เพราะท่าน"
นายพิธากล่าวก่อนจบการปราศรัย พร้อมย้ำให้กาก้าวไกล ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ชัดเจน ตรงไปตรงมา มีลุง ไม่มีเรา กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน