บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

26 ธ.ค. 2567 | 23:52 น.

เศรษฐกิจดิจิทัลไทย ปี 67 ครองอันดับ 2 อาเซียน มูลค่าสินค้ารวม 1.6 ล้านล้านบาท อีคอมเมิร์ซแรงขับเคลื่อนหลักมูลค่า 9.06 แสนล้านบาท ลงทุน Data Center มูลค่ารวม 2.09 แสนล้านบาท ความสามารถแข่งขันดิจิทัลอยู่ 37 โลกหล่น 2 อันดับ ดัชนีความพร้อม AI ภาครัฐ อยู่ที่ 37 โลก ลดลง 6 อันดับ

ประเทศไทยมีเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ดิจิทัล โดยต้องการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลภูมิภาค หรือ ดิจิทัลฮับ  อย่างไรก็ตามต้องเผขิญกับคู่แข่งสำคัญ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซียและเวียดนาม ที่วางหมุดหมายเป็นดิจิทัลฮับภูมิภาคเช่นเดียวกัน   แม้ว่าไทยจะมีความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยว  แต่ก็มีความเสียเปรียบหลายด้าน ทั้งเรื่องแรงงานดิจิทัล  ระบบราชการ ข้อจำกัดกฎหมายและการอำนวยความสะดวกลงทุน

บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ”ได้รวบรวมข้อมูลสถิติ-ดัชนีชี้วัด ทางด้านดิจิทัลของประเทศไทยเพื่อให้เห็นความก้าวหน้าและพัฒนา  รวมไปเรื่องที่ต้องเร่งการขับเคลื่อน เพื่อไม่ให้ไทยกลายเป็นเสือสิ้นลาย ตกขบวนจากเป้าหมายการผู้นำภูมิภาคเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับล่าสุด (e-Conomy SEA 2024 Report) ที่จัดทำโดย Google,Temasek และ Bain & Company คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจะมีมูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทในปี 2567 โดยยังคงมีขนาดใหญ่และเติบโตเร็วเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

ธุรกิจดิจิทัลมีแนวโน้มเติบโตเชิงบวก

อีคอมเมิร์ซ ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยคาดว่าจะโตขึ้น 19% และมีมูลค่าสินค้ารวม 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ  9.06 แสนล้านบาท ในปี 2567 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่มีส่วนสำคัญในการเติบโตนี้ โดยยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น วิดีโอคอมเมิร์ซ เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบอินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์วิดีโอที่น่าติดตามช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขายออนไลน์ได้เป็นอย่างดี 

การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์คาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมกันกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.38 แสนล้านบาท โตขึ้น 6% จากปีที่ผ่านมา การขนส่งกลับมาฟื้นตัวและอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว บริการส่งอาหารออนไลน์ยังคงเป็นภาคส่วนที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในเรื่องของการทำกำไร เนื่องจากในประเทศไทยมีผู้ให้บริการด้านอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก

บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

ท่องเที่ยวออนไลน์โตเร็วสุด

การท่องเที่ยวออนไลน์เป็นภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในไทย โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ หรือประมาณ 3.4 แสนล้านบาท ในปี 2567  เติบโต  32% จากปี 2566 และมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคฯ

นอกจากนี้ มาตรการใหม่ในการตรวจวีซ่า ซึ่งรวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 93 ประเทศ (เพิ่มขึ้นจากเดิม 57 ประเทศ) โครงการวีซ่าสำหรับกลุ่มบุคคลที่สามารถทำงานจากทุกที่บนโลก (Digital Nomad) และโครงการขอวีซ่าที่ผู้ถือพาสปอร์ตสามารถขอได้ ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองในประเทศ (Visa on Arrival หรือ VOA) ยังช่วยส่งเสริมให้มีการเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

โดย 45% ของการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในไทยมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 270% นับตั้งแต่ปี 2563 โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยเกือบ 70% ใช้จ่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

บริการสตรีมมิงดันสื่อออนไลน์โต

สื่อออนไลน์ ซึ่งได้แก่ โฆษณา วิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ และเกม เติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 7% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.04 แสนล้านบาท ในปีนี้ ภาคธุรกิจนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของดิจิทัลคอนเทนต์ เกม และบริการสตรีมมิงต่างๆ

บริการการเงินดิจิทัลไทยโตแกร่ง

บริการการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services หรือ DFS) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การชำระเงินดิจิทัลโตขึ้น 5% ในปี 2567 และคาดว่าจะมีมูลค่าธุรกรรมรวม (Gross Transaction Value หรือ GTV) สูงถึง 1.41 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ  4.794 ล้านล้านบาท     ในขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลคาดว่าจะมียอดคงค้างสินเชื่อ (Loan Book Balance) สูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4.76 แสนล้านบาท ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโต 28% ซึ่งเติบโตเร็วเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลและความมั่งคั่งทางดิจิทัลจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2573 นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้นผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

AI ขับเคลื่อนภูมิทัศน์ดิจิทัลไทย

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสนใจและความต้องการด้าน AI สูงที่สุด โดยอุตสาหกรรมหลักที่มีความสนใจในการค้นหาเกี่ยวกับ AI ได้แก่ การศึกษา เกม และการตลาด นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความต้องการแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีฟีเจอร์ AI ในการทำสิ่งต่างๆ เช่น การสร้างคอนเทนต์ เอฟเฟกต์ภาพถ่าย และการตัดต่อวิดีโอด้วย

บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจต่างๆ ก็กำลังใช้ประโยชน์จาก AI สำหรับการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย การสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่แก่ลูกค้า AI กลายเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และการส่งเสริมนวัตกรรม

ในส่วนของการลงทุนก็เพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ โดยในครึ่งแรกของปี 2567 การลงทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทยมีมูลค่าถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือ ประมาณ 2.09 แสนล้านบาท ทำให้ความจุ (Capacity) ของศูนย์ข้อมูลที่วางแผนไว้เพิ่มขึ้น 550% โดยเติบโตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสามารถแข่งขันดิจิทัลหล่น 2 อันดับ

ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2567 ไทยอันดับที่ 37 จาก 67 เขตเศรษฐกิจ ลดลง 2 อันดับจากปีที่แล้ว สาเหตุหลักจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีที่มีอันดับลดลงค่อนข้างมาก 8 อันดับจากปี 2566

จากทั้งหมด 3 ปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการวิเคราะห์จัดอันดับด้านดิจิทัลนั้น

  • ด้านเทคโนโลยี (Technology) ยังคงเป็นปัจจัยที่ไทยมีอันดับดีที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 2 ปัจจัยหลัก แม้ว่าในปีนี้จะลดลงมาจากปีก่อนถึง 8 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 23
  • ด้านความรู้ (Knowledge)
  • ด้านความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness) ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

ด้านดิจิทัลของประเทศได้ในระยะยาว ต่างขยับอันดับดีขึ้นเล็กน้อย 1 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 40 และ 41 ตามลำดับ แต่ก็ยังคงอยู่ในอันดับที่ไม่สูงนัก ซึ่งไทยจำเป็นที่จะต้องเร่งการพัฒนายกระดับใน 2 ด้านนี้อย่างต่อเนื่องIMD เผยไทยครองอันดับ 37 ด้านดิจิทัล ลดลง 2 อันดับ จากปัจจัยด้านเทคโนโลยี

เมื่อเปรียบเทียบเขตเศรษฐกิจในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนที่ IMD มีการจัดอันดับ ทั้งหมด 5 เขตเศรษฐกิจ ไทยยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1 แต่ที่น่าจับตามองคืออินโดนีเซีย แม้จะยังตามหลังมาเลเซียและไทย แต่มีแนวโน้มอันดับดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความพร้อม AI ลดลง 6 อันดับ

ดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลก  โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ ปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของกลไกภาครัฐและระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI

บทสรุปดิจิทัลไทย ปี 2567 กับเป้าหมายสู่ศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน

ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนนซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องเพิ่มการพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในองค์รวมของประเทศในระยะต่อไป

ดัชนีนวัตกรรมโลกอันดับเดิม อยู่ที่ 43

ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก ประจำปี 2566 (Global Innovation Index 2023) ของ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) วานนี้ (16 พ.ย.) ซึ่งไทยได้รับการจัดอันดับ เป็นอันดับที่ 43 จากทั้งหมด 132 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก และถือเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน

ดัชนีนวัตกรรมโลกเป็นการจัดอันดับความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศและเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านการประเมินตัวชี้วัดทั้งสิ้น 80 ตัว เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของนวัตกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลก ซึ่งในปีนี้ แม้ไทยยังคงอันดับที่ 43 เท่ากับปีที่แล้ว แต่มีปัจจัยย่อยที่ดีขึ้น ได้แก่

- ปัจจัยย่อยการนำเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) อยู่ในอันดับที่ 44 (ดีขึ้น 4 อันดับ)

- ปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) อยู่ในอันดับที่ 43 (ดีขึ้น 1 อันดับ)

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณารายกลุ่มปัจจัย ไทยมีอันดับของกลุ่มปัจจัยดีขึ้น 5 กลุ่มจากทั้งหมด 7 กลุ่ม โดยกลุ่มที่มีอันดับดีขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มปัจจัยด้านระบบตลาด (Market sophistication) ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 22 (ดีขึ้น 5 อันดับ)