กสทช. จับมือ สตช. เดินหน้ากวาดล้างสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่เถื่อน

18 ส.ค. 2566 | 07:15 น.

กสทช. จับมือ สตช. เดินหน้ากวาดล้างสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่เถื่อน ควบคู่การจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนทั่วประเทศ ตามนโยบายของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

เมื่อวันที่ 18 ส.ค.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เปิดเผยว่า กสทช. ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ร่วมกันแถลงผลการจับกุมและตรวจสอบกวดขัน สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และสถานีส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ด้าน จ.เชียงราย  ตามนโยบายของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ที่มีฐานปฏิบัติอยู่ตามแนวชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้สัญญาณโทรคมนาคมและสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย

 

พล.ต.อ.ดร.ณัฐธรฯ ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ขบวนการอาชญากรรมจำเป็นต้องมาตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้สัญญาณโทรคมนาคมจากฝั่งไทย เพื่อให้แสดงเป็นหมายเลขไทยเกิดความน่าเชื่อถือ และทำให้ยากต่อการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี เนื่องจากผู้กระทำผิดอยู่ประเทศหนึ่งผู้เสียหายอยู่อีกประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ภายหลังจากที่ สำนักงาน กสทช. มีการออก 7 มาตรการที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 

(1) ระงับการโทรเข้าจากต่างประเทศที่มีรูปแบบของเลขหมายที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ประจำ 

(2) ระงับการโทรเข้าจากต่างประเทศไม่มีการกำหนดเลขหมายต้นทาง ซึ่งมาจากช่องทาง VoIP

โดยประชาชนสังเกตได้จากหมายเลขขึ้นต้นด้วย +697”

(3) กำหนดให้ผู้ให้บริการจะต้องเพิ่ม Prefix สำหรับกรณีบริการที่ระบุเลขหมาย โดยใช้เครื่องหมาย “+698” นำหน้าเลขหมายที่เป็น Roaming จากต่างประเทศ

(4) จัดทำบริการ โทรหมายเลข *138 ให้ประชาชนเลือกปฏิเสธการรับสายที่โทรจากต่างประเทศได้  

(5) การจัดทำระบบลงทะเบียนกรณีผู้ทำการส่ง SMS จำนวนมากๆ ต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้า

กสทช. และ สตช. เดินหน้ากวาดล้างสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่เถื่อน

 

(6) การจำกัดลงทะเบียนซิมการ์ด มากกว่า 5 ซิม จะต้องไปลงทะเบียนและยืนยันตัวตนที่ศูนย์ให้บริการ

(7) การยกเลิกการส่ง SMS จากสถาบันทางการเงินแนบลิงค์ต่างๆ

(8) กด *179*เลขบัตรประชาชน# โทรออก เพื่อให้ธนาคารตรวจสอบ ว่าผู้เปิดบัญชีออนไลน์เป็นเจ้าของเลขหมายโทรศัพท์ที่แท้จริง

ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรจากต่างประเทศไม่ได้ ประกอบกับประชาชนมีการระมัดระวังสายต่างประเทศมากขึ้น ผู้กระทำผิดจึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากฝั่งไทยในการหลอกลวงประชาชน ดังนั้น การเดินหน้าปราบปรามสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และสถานีส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับการจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนทั่วประเทศไม่ให้สัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

จึงเปรียบเสมือนการตัดแขนตัดขากลุ่มอาชญากรทางเทคโนโลยีไม่ให้ทำงานได้สะดวกเหมือนในอดีตได้         

ด้าน พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย    กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สตช. ร่วมกับ สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนด้าน จ.เชียงราย พบว่ามีการตั้งสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมายหลายแห่ง จึงได้ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายศาล จนนำไปสู่การจับกุมจำนวนหลายราย โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1 เข้าตรวจสอบและจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ต  และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้

 1) สอท. ร่วมกับ กสทช. ภาค 3 ตรวจค้นจับกุมการตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 1 สถานี เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จึงได้จับกุมผู้กระทำผิดและยึดของกลางที่ใช้กระทำความผิด ประกอบด้วย เครื่องวิทยุคมนาคม จำนวน 8 เครื่อง , อุปกรณ์การจ่ายสัญญาณพร้อมกระแสไฟฟ้า จำนวน 4 เครื่อง และสายนำสัญญาณพร้อมหัวต่อความยาว 30 เมตร จำนวน 8 เส้น 

 2) สอท. ร่วมกับ กสทช. ภาค 3 ตรวจค้นจับกุมการตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 7 สถานี ในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ และ ต. แม่สาย อ.แม่สาย เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้ยึดของกลางที่ใช้กระทำความผิด ประกอบด้วย เครื่องวิทยุคมนาคม จำนวน 8 เครื่อง , อุปกรณ์เครื่องวิทยุคมนาคม จำนวน 18 รายการ

 ทั้งสองกรณีเป็นความผิดฐาน “มีและใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” ตามมาตรา 6 และ 11 ประกอบมาตรา 23 แห่ง พรบ.วิทยุคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ และความผิดฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตแบบที่หนึ่งโดยไม่ได้อนุญาต” ตามมาตรา 67 (1) แห่งพรบ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท พร้อมทั้งจับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 2 ราย ในการนี้ สำนักงาน กสทช. ภาค 3 ได้ทำการรื้อถอน

สถานีวิทยุคมนาคมผิดกฎหมายดังกล่าวทั้งหมด และทำการยึดอุปกรณ์เครื่องวิทยุโทรคมนาคมที่ใช้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก นำส่งพนักงานสอบสวน สภ. แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว  

 กรณีที่ 2 สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบพื้นที่ชายแดน จำนวน 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เชียงแสน,

อ.เชียงของ, อ.แม่สาย และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย จำนวน 105 ต้น ด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีเสาสัญญาณจำนวนมากมีการส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีการเคลื่อนไหวของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ กรณีนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือ ปรับทิศทางสายอากาศ หรือ ดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด มิให้แพร่สัญญาณคลื่นความถี่ออกนอกเขตพื้นที่ประเทศไทย เพื่อให้พื้นที่การให้บริการ (Service Area) อยู่ภายในอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย

ด้านพล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีกล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการที่ จ.เชียงรายในวันนี้ ถือเป็นการปฏิบัติต่อเนื่องจากเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่าน ซึ่งสำนักงาน กสทช. และ สตช. ได้มีการกวาดล้างจับกุมสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย และตรวจสอบเสาสัญญาณ ในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้าน จ.สระแก้ว โดยหลังจากนี้ สำนักงาน กสทช. จะร่วมกันปฏิบัติการกับ สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเอ็กซ์เรย์พื้นที่ตลอดแนวชายแดน ระยะทาง 5,326 กม. โดยเน้นพื้นที่เป้าหมายที่กลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตั้งฐานอยู่ อาทิ ชายแดน จ.สระแก้ว จ.เชียงราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว