เอเชียซอฟท์ รีแบรนดิ้งสู่ Asphere ทรานส์ฟอร์มธุรกิจมุ่งดิจิทัล เทคโนโลยี

08 มี.ค. 2566 | 10:41 น.
อัปเดตล่าสุด :08 มี.ค. 2566 | 10:51 น.

เอเชียซอฟท์ฯ เปิดกลยุทธ์ธุรกิจครั้งใหญ่ทรานส์ฟอร์มบริษัทสู่ ดิจิทัล เทคโนโลยี พร้อมประกาศ Rebranding รับการเติบโตครั้งใหม่

นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานกรรมการ บมจ. เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงภาพรวมของทิศทางการเติบโตทางธุรกิจของเอเชียซอฟท์ฯ ที่ได้เริ่มวางรากฐานตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเกมออนไลน์, กลุ่มธุรกิจ Blockchain & Innovation Technologies, กลุ่มธุรกิจสื่อและการตลาด และกลุ่มธุรกิจเงินร่วมลงทุน

เอเชียซอฟท์ รีแบรนดิ้งสู่ Asphere ทรานส์ฟอร์มธุรกิจมุ่งดิจิทัล เทคโนโลยี

ซึ่งขณะนี้เอเชียซอฟท์ฯ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะก้าวเดินในเส้นทางธุรกิจที่มีความหลากหลายเพื่อมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน Digital Technology โดยในปี 2566 นี้ จะเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากแผนกลยุทธ์ของแต่ละกลุ่มธุรกิจที่มาเปิดเผยข้อมูลในงานนี้

นายปราโมทย์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ มีความสนใจในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ MarTech โดยขณะนี้ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (Buzzebees) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้าน Customer Relationship Management (CRM) Platform ครบวงจรรายใหญ่อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านคน และมีระบบนิเวศที่รองรับผู้ประกอบการทั้งในระดับองค์กรและผู้ค้าปลีก ซึ่งการลงทุนครั้งนี้นอกจากบริษัทฯ จะได้นำระบบ CRM มาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ทำให้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ยังช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้ที่แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นจากหลากหลายธุรกิจ ในขณะเดียวกัน เอเชียซอฟท์ฯ สามารถช่วยให้บัซซี่บีส์ขยายธุรกิจสู่ตลาดในระดับภูมิภาค เนื่องจากเอเชียซอฟท์ฯ มีความเข้าใจตลาดและดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 17 ปี

ทั้งนี้ เพื่อให้ชื่อและภาพลักษณ์ของบริษัทฯ สามารถสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ใหม่ในการขยายธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ จึงเตรียมที่จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการให้ความเห็นชอบเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Asphere Innovations Public Company Limited อันมีความหมายถึง Asiasoft (AS) ผนวกกับ Sphere อันหมายถึงทรงกลมหรือโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้น Asphere จึงมีนัยสื่อถึง Asiasoft พร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากภูมิภาคเอเชียและขยายขอบเขตธุรกิจที่จะสรรสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคตสู่ตลาดระดับโลกภายใต้แนวคิด “Serving the Infinite Future”

สุดท้ายนี้ เชื่อมั่นว่า ด้วยวิสัยทัศน์และการปรับแผนกลยุทธ์ครั้งใหญ่นี้ จะสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เดินหน้าได้อย่างมั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืน

นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ. คับเพลย์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ได้กล่าวถึงทิศทางของบริษัท คับเพลย์ฯ ในปี 2566 ว่า การพัฒนาแพลตฟอร์ม Astronize ซึ่งเป็น Hybrid Web 3.0 Game Platform รายแรกในภูมิภาคมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผน โดยบริษัทฯ ได้ทำการแต่งตั้งที่ปรึกษา (ICO Portal) ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในช่วงการเตรียมเอกสารการยื่นขออนุญาตเสนอขาย Utility Token แก่สาธารณะ (ICO) เพื่อสำหรับใช้งานภายใต้ระบบนิเวศของ Astronize ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยคาดหวังว่าจะสามารถเสนอขาย ICO ได้ในไตรมาส 3-4 ปีนี้

เอเชียซอฟท์ รีแบรนดิ้งสู่ Asphere ทรานส์ฟอร์มธุรกิจมุ่งดิจิทัล เทคโนโลยี

พร้อมกับแผนการเปิดตัวเกมทันทีหลังจาก ICO จำนวน 2 เกมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ TS Multiverse ซึ่งเป็นเกมแนว SRPG ในรูปแบบ Free-to-Play & Earn ที่ถูกพัฒนาและปรับแต่งมาจากเกม TS Mobile สุดคลาสสิกที่เคยทำให้เอเชียซอฟท์ฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วนับตั้งแต่ปี 2562 และเกม Clash of Thrones ซึ่งเป็นเกม NFT Idle RPG รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากเกม Idle RPG ทั่วไป โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์ม Astronize ทันทีหลังจากเปิดตัว 2 เกมไม่น้อยกว่า 500,000 คน และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1 ล้านคนภายใน 1 ปีด้วยแผนการเปิดตัวเกมใหม่เพิ่มเติมทุกไตรมาส และตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาทภายใน 3 ปีนับจากเปิดให้บริการ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 67

นายกิตติพงศ์ ได้กล่าวเสริมว่า จาก 2-3 ปีที่ผ่านมา โมเดลธุรกิจของ GameFi ได้ผ่านบทพิสูจน์มามากพอสมควร และรูปแบบที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่สุดในปัจจุบันคือรูปแบบ Free-to-Play & Earn โดยเฉพาะการนำเอาเกม Traditional (Web 2.0) ที่มีคุณภาพสูงและความสนุกสนานมาผสานเข้ากับเทคโนโลยี Blockchain (Web 3.0) เพื่อนำมาให้บริการในรูปแบบ Hybrid เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานในการเล่นเกมอย่างแท้จริงคือความสนุก แต่ผู้เล่นสามารถได้ผลตอบแทนหรือ Earn จากการเล่นควบคู่ไปด้วยและสามารถแลกเปลี่ยนไอเทมในเกมกับผู้เล่นอื่น ๆ ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยด้วยการแปลงเป็น NFT ซึ่งแตกต่างจากเกม Web 3.0 ที่เปิดให้บริการด้วยโมเดล Play-to-Earn ที่เน้นการลงทุนก่อนเข้าเล่น เพื่อหวังผลตอบแทนเป็นหลัก แต่คุณภาพของเกมยังไม่สามารถตอบโจทย์ด้านความสนุกที่แท้จริงได้ ซึ่งเชื่อว่าเกม Web 3.0 จะยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาด้านคุณภาพให้เทียบเท่าเกมยุค Web 2.0 และค้นหาโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสมและยั่งยืนอย่างน้อยอีก 2-3 ปี

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Blockchain and Innovation Technologies ได้เตรียมก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Metaverse ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต โดยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพันธมิตรเพื่อเข้าลงทุนในโปรเจกต์ Big Bang Theory ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการ Metaverse as-a-service รายแรกของโลก เพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรหรือแบรนด์สินค้าต่าง ๆ สามารถสร้าง Metaverse ของตนเองด้วย module สำเร็จรูปอย่างง่ายดายภายในเวลาเพียง 10 นาที และด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำในรูปแบบ pay per use อีกทั้งยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อฟังก์ชั่นทางธุรกิจมากกว่า 30 ฟังก์ชั่น อาทิ e-commerce, communication, virtual space, streaming, gamification หรือเชื่อมต่อกับโลก Web 3.0 เพื่อสร้าง Token หรือ NFT เป็นต้น ซึ่งแพลตฟอร์มได้เริ่มเปิดให้บริการ soft launch ไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ โดยคาดว่าจะเข้าลงทุนแล้วเสร็จภายในไตรมาสนี้