“mHealth” แรงแนะธุรกิจสุขภาพเร่งสร้างรากฐานดิจิทัล

30 ม.ค. 2566 | 09:52 น.

กระแสติดตามดูแลสุขภาพผ่านอุปกรณ์ “mHealth” เติบโต หนุนตลาดสุขภาพแบบดิจิทัลทั่วโลกมูลค่า 16 ล้านล้านบาท ในปี 68 “Adjust” ชี้ “mHealth” สร้างโอกาสนักการตลาดบนมือถือในธุรกิจสุขภาพ-ออกกำลังกาย สร้างรากฐานดิจิทัลที่มั่นคง

เอพริล เทย์สัน รองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย บริษัท Adjust  เปิดเผยว่า  อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์เป็น  1 ใน 3 อุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างมากบนอุปกรณ์มือถือ   โดยได้รับผลจากการเติบโตทางดิจิทัลครั้งใหญ่ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่เครื่องติดตามการออกกำลังกายอย่าง Fitbit และเครื่องติดตามสุขภาพผู้หญิงอย่าง Clue ไปจนถึงบริการด้านสุขภาพจิตอย่าง Headspace แอป mHealth ทำให้ร้านแบบเดิมๆ และบริษัทเกิดใหม่ที่เน้นเรื่องสุขภาพเข้าสู่โลกของระบบติดตามดูแลสุขภาพผ่านอุปกรณ์ (Mobile Health) หรือ mHealth ได้ง่ายขึ้น  

โดย  mHealth ประกอบด้วยบริการด้านสุขภาพที่ให้บริการผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในขณะที่ mHealth หมายถึงอุปกรณ์พกพาทั้งหมดที่สามารถส่งข้อมูลได้ โดยสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่คนนิยมใช้ mHealth กันมากที่สุด

“mHealth” แรงแนะธุรกิจสุขภาพเร่งสร้างรากฐานดิจิทัล

ทั้งนี้คาดกันว่าเมื่อถึงปี 2568   ตลาดสุขภาพแบบดิจิทัลทั่วโลกจะมีมูลค่าเกิน 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ   หรือ ประมาณ  16 ล้านล้านบาท     ขณะที่ปัจจุบันตลาดสุขภาพบนมือถือทั่วโลกมีมูลค่าถึง 189,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  หรือประมาณ  6.2  ล้านล้านบาท  ทั้งนี้อุตสาหกรรมสุขภาพที่เติบโตขึ้นจะทำให้เกิดบริการด้านการดูแลสุขภาพบนมือถืออย่างน่าทึ่งบนอุปกรณ์พกพาแบบต่างๆ

ตัวอย่างนวัตกรรม mHealth ที่พบเห็นได้ในปัจจุบันและกำลังพัฒนาต่อไปเนื่องในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า  ประกอบด้วย 1. มีข้อมูลไบโอเมตริกมากกว่าเดิม: ประเภทข้อมูลที่มีให้รวบรวมจากอุปกรณ์ mHealth โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของอุปกรณ์สวมใส่ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น   โดยผู้ใช้สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความดันโลหิต ระดับออกซิเจน อุณหภูมิ คุณภาพการนอนหลับ ความจุของปอด ค่าดัชนีมวลกาย มวลกระดูก และระดับน้ำตาลในเลือดได้   โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ นักกีฬาเองก็สามารถวัดความยาวก้าวย่าง มุมตีเท้า และเวลาสัมผัสพื้นเท้าได้อย่างง่ายดาย เมื่อรวมกับแอปมือถือ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์นี้สามารถให้เห็นคำแนะนำแบบเรียลไทม์เพื่อทำให้สุขภาพของผู้ใช้ดีขึ้น ด้วยข้อมูลเชิงเหตุและผลที่แสดงให้เห็นในทันที

2. มีอุปกรณ์ mHealth ที่หลากหลายขึ้น   ความหลากหลายของอุปกรณ์ mHealth เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีอุปกรณ์พกพาที่มีเซ็นเซอร์ไบโอเมตริกในรูปแบบรอยสัก เครื่องเพชร ยา ถุงมือ เตียง และรองเท้า เมื่ออุปกรณ์ในชีวิตประจำวันกลายเป็น "อุปกรณ์อัจฉริยะ" กันมากขึ้นเพราะมีเซ็นเซอร์ไบโอเมตริกต่างๆ ผู้บริโภคก็จะอยากใช้งานเพราะสามารถดูข้อมูลต่างๆ ได้ และเริ่มติดตามและใช้ข้อมูลด้านสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น

3. การผสานการใช้งานการดูแลสุขภาพบนมือถือที่มากขึ้น: การให้คำปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ได้เพิ่มขึ้นตลอดช่วงการแพร่ระบาด ทำให้ผู้ป่วยสามารถสนทนากับแพทย์ผ่านวิดีโอคอลบนโทรศัพท์ได้ ตอนนี้เราจะเห็นการเปิดตัวบริการด้านสุขภาพผ่านอุปกรณ์พกพาอย่างต่อเนื่อง เพราะแพทย์เริ่มเข้าถึงข้อมูลชั้นต้นที่มีอยู่มากมายได้ บริษัทเช่น Apple ก็เริ่มเปิดฟีเจอร์การแชร์ข้อมูลไบโอเมตริกเพื่อแจ้งผู้ใช้ให้รู้ว่ามีความเสี่ยงเมื่อระบบตรวจพบค่าบางอย่างที่ผิดปกติ

เอพริล เทย์สัน  กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับในไทย บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องมีรากฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งหากต้องการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมของผู้ใช้ เพราะวิธีนี้จะทำให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจสุขภาพให้รอด   โดยกระแสความนิยมของ mHealth ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ให้เราได้สร้างรากฐานที่มั่นคง สำหรับนักการตลาดบนมือถือในธุรกิจด้านสุขภาพและการออกกำลังกายในไทย

โดยในไทย   เอ ไลฟ์ พาวเวอร์ บาย เอไอเอ (ALive Powered by AIA) เป็นหนึ่งในแอปที่เข้าสู่ตลาด mHealth ที่กำลังเติบโตในณะนี้   แอป ALive จะให้คำแนะนำด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในครอบครัวแก่ผู้ใช้ผ่านคุณสมบัติต่างๆ เช่น ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) กระดานสนทนา เนื้อหาด้านสุขภาพ และ My Diary สมุดบันทึก ติดตามและวิเคราะห์สุขภาพประจำวัน อาทิ บันทึกช่วงเวลา ประวัติการรับประทานอาหาร ติดตามการเจริญเติบโต และบันทึกวัคซีนของลูกน้อย ด้วยผู้ใช้ที่มากถึง 300,000 รายในช่วงสิ้นปี 2564  ทำให้เราเห็นว่าแอป ALive ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากการเติบโตของ mHealth ที่เป็นผลมาจาก COVID ทีมจึงพร้อมที่จะวางกลยุทธ์ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อหมดการแพร่ระบาดแล้ว

อย่างไรก็ตาม แอปสุขภาพและสุขภาวะที่เพิ่มมากขึ้นก็มาพร้อมกับการหลอกลวงผ่านโฆษณาบนมือถือที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน การหลอกลวงผ่านโฆษณาอาจมาในรูป Spoofed Attribution, Spoofed User และ/หรือบ็อตในแอป ในกรณีของ ALive ทาง Adjust ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยกับการรับมือข้อกังวลเรื่องการหลอกลวง เพื่อให้ทีมสามารถกลับไปใส่ใจเรื่องกลยุทธ์การเพิ่มผู้ใช้แอปได้ ชุดการป้องกันการหลอกลวงของ Adjust ได้ช่วยให้ทีมเข้าใจต้นกำเนิดกิจกรรมการหลอกลวงนั้นๆ สุดท้ายแล้วข้อมูลเชิงลึกนี้ก็ช่วยลดต้นทุนต่อการเพิ่มผู้ใช้ได้ ซึ่งประหยัดไปได้เกือบ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ 1.98 ล้านบาท และเพิ่ม Conversion ถึง 60%

เมื่อมีกลยุทธ์ป้องกันการหลอกลวงแล้ว Adjust ก็ปรับ CRM ของ ALive ให้เข้ากับชุดการรายงานการป้องกันการหลอกลวงของ Adjust เป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับการรายงานของ ALive เพื่อช่วยให้ทีมเห็นผลลัพธ์แบบครบวงจรอย่างแท้จริงของประสิทธิภาพทางการตลาดหลังการกำจัดแหล่งที่มาของการหลอกลวง จากนั้น AIA Wellness ก็พร้อมที่จะเปลี่ยน Audience Builder ของ Adjust ให้แบ่งส่วนและสื่อสารกับผู้ใช้เป้าหมายจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ