KEY
POINTS
นายอรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านดิจิทัลอย่างชัดเจน โดยคาดว่าตลาด AI ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 32.33% และมีมูลค่าสูงถึง 7.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท ภายในปี 2574 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของเทคโนโลยี AI
แม้ว่าปัจจุบันจะมีองค์กรไทยที่นำ AI มาใช้งานเพียง 17.8% แต่คาดว่าจะเกิดการเร่งตัวครั้งใหญ่ในไม่ช้าเมื่อภาคธุรกิจเริ่มตระหนักถึงพลังของ Generative AI ที่สามารถยกระดับกระบวนการทำงานและสร้างนวัตกรรมได้อย่างก้าวกระโดด
ขณะเดียวกัน ตลาดไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 894.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.9 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องระบบจากภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ AI, ไฮบริดคลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์มาบรรจบกัน โลกก็จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการทรานส์ฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคที่ “โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ” จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง โดยผู้นำตลาดที่แท้จริงในอนาคตจะไม่ใช่แค่ผู้ที่สามารถสะสมข้อมูลจำนวนมหาศาล แต่คือผู้ที่สามารถเก็บสะสม ใช้ ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด
เน็ตแอพ คาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะกำหนดวิถีที่องค์กรใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดูแลความปลอดภัย และขยายศักยภาพธุรกิจในปี 2569 ดังต่อไปนี้:
AI สู่การใช้งานเต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่เป็นระบบ
โดย AI จะก้าวพ้นจากการเป็นโครงการนำร่องไปสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จจะไม่ใช่การมีโมเดลที่ใหญ่ที่สุด หรือข้อมูลที่มากที่สุด แต่คือการมี “ข้อมูลที่รวมศูนย์ บริหารจัดการได้ และเข้าถึงได้อย่างเป็นระบบ” ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะจะเป็นฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยการทำงานอัตโนมัติ ตั้งแต่การจัดสรร, คัดแยกข้อมูล, การทำเวกเตอร์ข้อมูล ไปจนถึงการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลที่พร้อมต่อการเทรน ปรับแต่ง และนำ AI ไปใช้งานจริงได้ในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ คลื่นลูกใหม่ของ AI จะไม่หยุดอยู่ที่การสร้างคอนเทนต์ แต่จะพัฒนาเป็นระบบที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งสามารถตัดสินใจ ลงมือทำ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง ระบบเหล่านี้ต้องพึ่งพาการเข้าถึงข้อมูลองค์กรที่มีการกำกับดูแลอย่างรัดกุม รวดเร็ว และเชื่อถือได้ ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และระบบภายในองค์กร โดยสถาปัตยกรรมที่สามารถปรับขยายประสิทธิภาพและความจุได้อย่างอิสระจะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น คุ้มค่า และรองรับการขยายตัวของ AI ได้อย่างต่อเนื่องในทุกสภาพแวดล้อม
การทรานส์ฟอร์มคลาวด์ เน้นบริหารเวิร์กโหลดเชิงกลยุทธ์
องค์กรจำนวนมากได้ก้าวพ้นยุค “นำองค์กรสู่คลาวด์” ไปแล้ว และก้าวต่อไปคือการบริหารเวิร์กโหลดอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรอยู่ที่ใดจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด องค์กรจะหันมาใช้แพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าเวิร์กโหลดไหนควรอยู่บนระบบใด ทั้งในระบบไฮบริดและมัลติคลาวด์
ขณะเดียวกัน รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มเข้มงวดกับกฎระเบียบที่เกี่ยวกับ อธิปไตยด้านข้อมูล ทำให้องค์กรต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบ Local หรือ Sovereign Cloud ที่รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยจัดการกระบวนการด้านความปลอดภัยและกฎหมายแบบอัตโนมัติ ตั้งแต่การเข้ารหัส การจัดการนโยบาย ไปจนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้ทีมงานสามารถโฟกัสกับการสร้างคุณค่าทางธุรกิจมากกว่าการจัดการระเบียบต่าง ๆ
ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์-การกำกับดูแลข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ภัยคุกคามไซเบอร์ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์แรนซัมแวร์แบบเดี่ยว ๆ อีกต่อไป แต่พัฒนากลายเป็นการเจาะระบบที่ซับซ้อน ทำให้ ความเร็วในการตรวจจับและกู้คืนจากการโจมตี จะกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่ด้านความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ องค์กรจะต้องการความสามารถในการตรวจจับการละเมิดระบบที่รวดเร็ว แยกส่วนระบบที่ถูกโจมตีแบบอัตโนมัติ และกู้คืนจากข้อมูลที่ “ปลอดภัย” ได้แทบจะทันที