‘AI-คลาวด์’ ดันไทยสู่มหาอำนาจดิจิทัล โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ ตัวชี้ขาดความสำเร็จ

19 ธ.ค. 2568 | 04:12 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 04:27 น.

เน็ตแอพ เผยทิศทางการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลครั้งใหญ่ของไทย ชี้ AI-คลาวด์ แรงขับเคลื่อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด ฟันธงองค์กรที่ก้าวเป็นผู้นำในยุคใหม่ ไม่ใช่ผู้ที่มีข้อมูลมากที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถจัดการและใช้ประโยชน์จาก “โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ” (Intelligent Data Fabric)ได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสูงสุด

KEY

POINTS

  • ตลาด AI และคลาวด์ในไทยมีศักยภาพเติบโตสูง คาดว่าตลาด AI จะมีมูลค่าถึง 2.37 แสนล้านบาทภายในปี 2574 ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ไทยก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจด้านดิจิทัล
  • "โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ" เป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ โดยเน้นความสามารถในการจัดเก็บ ใช้งาน ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การมีข้อมูลปริมาณมาก
  • แนวโน้มสำคัญในอนาคตคือการนำ AI มาใช้งานจริงในระดับองค์กร การบริหารจัดการคลาวด์เชิงกลยุทธ์ และการให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นทางไซเบอร์เพื่อรับมือภัยคุกคาม

นายอรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านดิจิทัลอย่างชัดเจน โดยคาดว่าตลาด AI ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 32.33% และมีมูลค่าสูงถึง 7.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท ภายในปี 2574 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของเทคโนโลยี AI

แม้ว่าปัจจุบันจะมีองค์กรไทยที่นำ AI มาใช้งานเพียง 17.8% แต่คาดว่าจะเกิดการเร่งตัวครั้งใหญ่ในไม่ช้าเมื่อภาคธุรกิจเริ่มตระหนักถึงพลังของ Generative AI ที่สามารถยกระดับกระบวนการทำงานและสร้างนวัตกรรมได้อย่างก้าวกระโดด

‘AI-คลาวด์’ ดันไทยสู่มหาอำนาจดิจิทัล โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ ตัวชี้ขาดความสำเร็จ การขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลในไทยยังสอดคล้องกับความต้องการด้าน อธิปไตยข้อมูล (Data Sovereignty) และบริการคลาวด์ภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งกำหนดให้ข้อมูลที่สร้างขึ้นในประเทศจะต้องถูกจัดเก็บและประมวลผลภายในเขตแดนประเทศเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ตลาดไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 894.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.9 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องระบบจากภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ AI, ไฮบริดคลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์มาบรรจบกัน โลกก็จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการทรานส์ฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคที่ “โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ” จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง โดยผู้นำตลาดที่แท้จริงในอนาคตจะไม่ใช่แค่ผู้ที่สามารถสะสมข้อมูลจำนวนมหาศาล แต่คือผู้ที่สามารถเก็บสะสม ใช้ ปกป้อง และเคลื่อนย้ายข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด

เน็ตแอพ คาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะกำหนดวิถีที่องค์กรใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดูแลความปลอดภัย และขยายศักยภาพธุรกิจในปี 2569 ดังต่อไปนี้:

AI สู่การใช้งานเต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่เป็นระบบ

โดย AI จะก้าวพ้นจากการเป็นโครงการนำร่องไปสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จจะไม่ใช่การมีโมเดลที่ใหญ่ที่สุด หรือข้อมูลที่มากที่สุด แต่คือการมี “ข้อมูลที่รวมศูนย์ บริหารจัดการได้ และเข้าถึงได้อย่างเป็นระบบ” ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะจะเป็นฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยการทำงานอัตโนมัติ ตั้งแต่การจัดสรร, คัดแยกข้อมูล, การทำเวกเตอร์ข้อมูล ไปจนถึงการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลที่พร้อมต่อการเทรน ปรับแต่ง และนำ AI ไปใช้งานจริงได้ในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ

‘AI-คลาวด์’ ดันไทยสู่มหาอำนาจดิจิทัล โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ ตัวชี้ขาดความสำเร็จ

นอกจากนี้ คลื่นลูกใหม่ของ AI จะไม่หยุดอยู่ที่การสร้างคอนเทนต์ แต่จะพัฒนาเป็นระบบที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งสามารถตัดสินใจ ลงมือทำ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง ระบบเหล่านี้ต้องพึ่งพาการเข้าถึงข้อมูลองค์กรที่มีการกำกับดูแลอย่างรัดกุม รวดเร็ว และเชื่อถือได้ ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และระบบภายในองค์กร โดยสถาปัตยกรรมที่สามารถปรับขยายประสิทธิภาพและความจุได้อย่างอิสระจะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น คุ้มค่า และรองรับการขยายตัวของ AI ได้อย่างต่อเนื่องในทุกสภาพแวดล้อม

‘AI-คลาวด์’ ดันไทยสู่มหาอำนาจดิจิทัล โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ ตัวชี้ขาดความสำเร็จ

การทรานส์ฟอร์มคลาวด์ เน้นบริหารเวิร์กโหลดเชิงกลยุทธ์

องค์กรจำนวนมากได้ก้าวพ้นยุค “นำองค์กรสู่คลาวด์” ไปแล้ว และก้าวต่อไปคือการบริหารเวิร์กโหลดอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรอยู่ที่ใดจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด องค์กรจะหันมาใช้แพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าเวิร์กโหลดไหนควรอยู่บนระบบใด ทั้งในระบบไฮบริดและมัลติคลาวด์

ขณะเดียวกัน รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มเข้มงวดกับกฎระเบียบที่เกี่ยวกับ อธิปไตยด้านข้อมูล ทำให้องค์กรต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบ Local หรือ Sovereign Cloud ที่รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยจัดการกระบวนการด้านความปลอดภัยและกฎหมายแบบอัตโนมัติ ตั้งแต่การเข้ารหัส การจัดการนโยบาย ไปจนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้ทีมงานสามารถโฟกัสกับการสร้างคุณค่าทางธุรกิจมากกว่าการจัดการระเบียบต่าง ๆ

ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์-การกำกับดูแลข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ภัยคุกคามไซเบอร์ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์แรนซัมแวร์แบบเดี่ยว ๆ อีกต่อไป แต่พัฒนากลายเป็นการเจาะระบบที่ซับซ้อน ทำให้ ความเร็วในการตรวจจับและกู้คืนจากการโจมตี จะกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่ด้านความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ องค์กรจะต้องการความสามารถในการตรวจจับการละเมิดระบบที่รวดเร็ว แยกส่วนระบบที่ถูกโจมตีแบบอัตโนมัติ และกู้คืนจากข้อมูลที่ “ปลอดภัย” ได้แทบจะทันที

‘AI-คลาวด์’ ดันไทยสู่มหาอำนาจดิจิทัล โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะ ตัวชี้ขาดความสำเร็จ นอกจากนี้ ในระยะถัดไป องค์กรจะให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลข้อมูลอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การควบคุมการเข้าถึง ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการติดตามเส้นทางของข้อมูลตลอดวงจรชีวิต และเมื่อข้อมูลที่พร้อมต่อการใช้งานกับ AI กลายเป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรม โครงสร้างข้อมูลอัจฉริยะก็จะพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้น เพื่อวางรากฐานด้านการกำกับดูแลตั้งแต่ข้อมูลดิบ ไปจนถึงการวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ในทุกกระบวนการ