เทคกูรู แนะธุรกิจไทยติดสปีดด้วย AI ยกระดับความสามารถแข่งขัน-ลดต้นทุน

12 พ.ย. 2568 | 10:38 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2568 | 10:56 น.

ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี ชี้ทางรอดธุรกิจไทย ใช้ Small Data - AI พลิกโฉมการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เสริมความสามารถแข่งขันในยุคดิจิทัล

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ธุรกิจไทยหันมาใช้ "Small Data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรงและนำไปใช้ได้จริง แทน "Big Data" เพื่อลดต้นทุนและข้อจำกัดด้านทรัพยากร
  • การนำ AI มาใช้ในองค์กรสามารถทำได้ 3 ระดับ คือ ใช้เป็นผู้ช่วย (Assist) เพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน, สร้างระบบอัตโนมัติ (Automate) สำหรับงานซ้ำซ้อน และยกระดับผลงาน (Elevate) ให้พนักงานทำงานเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญ
  • AI มีผลกระทบสูงในด้านการตลาดและการขาย โดยช่วยสร้างการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะบุคคลในวงกว้าง (Personalization at Scale) และลดขั้นตอนการสร้างคอนเทนต์ที่ซับซ้อน

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถยกระดับศักยภาพของธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างมาก  ในเวทีงานสัมมนา  THAILAND’s NEW PROSPECT จัดโดยเนชั่น กรุ๊ป  มีผู้เชี่ยวชาญ AI ทั้งภาคธุรกิจ และสถาบันฝึกอบรม  ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวการการนำ AI มาใช้ทางธุรกิจ

โดยนายปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด ได้เสนอแนวคิดที่สำคัญในการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจไทย โดยแนะนำให้หันมาใช้ "Small Data" แทนการพึ่งพา "Big Data" ที่ต้องการทรัพยากรมหาศาล ซึ่งสามารถช่วยให้ธุรกิจไทยก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล

เทคกูรู แนะธุรกิจไทยติดสปีดด้วย AI ยกระดับความสามารถแข่งขัน-ลดต้นทุน Small Data: ทางออกสำหรับธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล

นายปริชญ์ได้อธิบายว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจใหญ่ๆ ทั่วโลกได้ใช้ "Big Data" เป็นเครื่องมือในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยบริษัทขนาดใหญ่เช่น Google, Amazon, Netflix และ Tesla ได้ลงทุนจำนวนมากเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจไทยนั้น การใช้ Big Data อาจไม่เป็นทางออกที่ดีที่สุดเนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ เช่น ต้นทุนที่สูง คุณภาพข้อมูลที่ต่ำ ความเสี่ยงทางกฎหมาย และการขาดบุคลากรที่มีทักษะในการจัดการข้อมูล

ทางออกที่นายปริชญ์แนะนำคือการใช้ "Small Data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับธุรกิจจริงๆ โดยแนะนำให้เก็บข้อมูลในลักษณะที่เป็น Proprietary (ข้อมูลที่เป็นของบริษัทเอง) Contextual (ข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจริง) และ Actionable (ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนการจัดการข้อมูล

AI: เครื่องมือสำคัญในการปรับธุรกิจสู่ยุคใหม่

ในส่วนของการใช้ AI ในธุรกิจไทย ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Co-Founder ของ Skooldio ได้เสนอแนะว่า AI ควรถูกนำมาใช้ในองค์กรใน 3 ระดับ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเริ่มต้นจากการใช้ AI เป็น ผู้ช่วย (Assist) ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในการทำงาน โดยการลงทุนในเครื่องมือ AI เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือน ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity) ของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคกูรู แนะธุรกิจไทยติดสปีดด้วย AI ยกระดับความสามารถแข่งขัน-ลดต้นทุน หลังจากนั้น เมื่อองค์กรมีความเข้าใจใน AI มากขึ้น สามารถพัฒนาไปสู่ระดับ สร้างระบบอัตโนมัติ (Automate) โดยการใช้ AI เพื่อจัดการงานที่ซ้ำซากหรือไม่ต้องการการตัดสินใจจากมนุษย์ เช่น การประมวลผลข้อมูล การคัดกรองผู้สมัครงาน หรือการจัดการข้อมูลลูกค้า

ในที่สุด เมื่อองค์กรมีการใช้ AI อย่างเต็มที่แล้ว สามารถยกระดับไปสู่การ ยกระดับผลงาน (Elevate) โดยทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้ในระดับที่เทียบเท่ากับพนักงานที่มีประสบการณ์หลายปี ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย หรือการปรับข้อความสื่อสารให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย

AI สำหรับ SMEs: โอกาสใหม่ในการเติบโต

ดร.มัณฑิตา จินดา Founder & Managing Director, Digital Tips Academy  กล่าวว่าการนำ AI มาใช้ในธุรกิจ โดยระบุว่าฟังก์ชันงานที่ AI สามารถสร้างผลกระทบ (Impact) และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้สูงที่สุด คือ Marketing and Sales รองลงมาคือ Strategy, Corporate Finance, และ Product and Service Development

ปัจจุบัน AI เข้ามาช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล โดยยกตัวอย่างการใช้เครื่องมือ AI เช่น CapCut Note Pro ในการสร้างสรรค์วิดีโอโปรโมตหนังสือ เพียงแค่อัปโหลดภาพและใส่คำอธิบาย AI ก็สามารถสร้างวิดีโอรีวิวได้หลากหลายถึง 8 รูปแบบอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านคอนเทนต์และลดความจำเป็นในการจัดประชุม วางสคริปต์ หรือหาพรีเซนเตอร์จำนวนมาก

ประเด็นสำคัญที่ AI เข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาดคือช่องว่างระหว่างสิ่งที่องค์กรคิดว่าได้พัฒนาขึ้น กับสิ่งที่ลูกค้าได้รับ โดยเฉพาะด้าน Personalization หรือการนำเสนอเฉพาะบุคคล จากการสำรวจพบว่า 71% ของผู้บริโภคต้องการให้แบรนด์มีการสื่อสารและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เป็น Personalization แต่มีเพียง 54% ของแบรนด์ที่สามารถทำได้จริง ซึ่ง AI ทำให้เกิดแนวคิด "Personalization at Scale" (เฉพาะบุคคลในวงกว้าง)

มีการยกตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เช่น L'Oréal ที่ใช้ AI วิเคราะห์ภาพเซลฟี่ของลูกค้าเพื่อแนะนำการดูแลผิวพรรณที่ตรงจุด และ Function of Beauty ที่ให้ลูกค้าทำแบบสอบถามง่ายๆ เพื่อให้ AI ปรุงแต่งแชมพูเฉพาะบุคคล (Custom Hair Care) นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ในแคมเปญสร้างสรรค์ เช่น แคมเปญ “งดเหล้า” ของ สสส. ที่ใช้ Prompt เป็นเครื่องมือให้ประชาชนสร้าง User Generated Content (UGC) ในการเปรียบเทียบสิ่งที่ประหยัดได้จากการงดดื่ม

ดร.มัณฑิตา  กล่าวทิ้งท้ายว่า ในยุคที่ ต้นทุนในการเข้าถึงคำตอบ และเครื่องมือ AI นั้นลดลงอย่างมาก ผู้ประกอบการ SME ทุกรายจึงสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้พอๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันฟรีหรือการลงทุนเพิ่มเติม ดังนั้น สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างและทำให้ธุรกิจเป็น High Performer จึงไม่ใช่เพียงแค่การเข้าถึงเครื่องมือ แต่เป็น "ความสามารถในการตั้งคำถาม" ที่ดี ซึ่งจะต้องเป็นคำถามที่ใหญ่พอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและธุรกิจได้