ผลสำรวจเลอโนโว พบธุรกิจกลุ่มอาเซียนพลัส ลงทุน AI เพิ่ม 2.7 เท่า

29 พ.ค. 2568 | 00:02 น.

ตลาดเอเชียแปซิฟิคเริ่มคึกคักด้วยกระแสการลงทุน AI ที่พุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด หลังจากธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มมองเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่องผลตอบแทนจากการนำ AI มาใช้ในองค์กรอาเซียนพลัสยังอยู่ขั้นเริ่มต้น ไทยเร่งสร้างฐานข้อมูลรองรับแผนเป็นฮับ AI ภูมิภาค

KEY

POINTS

โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดเป็นที่นิยม

ประเด็นที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งคือการเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI โดย 68% ของธุรกิจในอาเซียนพลัสเลือกใช้ระบบแบบไฮบริดและ on-premise มากกว่าระบบคลาวด์สาธารณะ

นายซินิซ่า นิโคลิช (Sinisa Nikolic) ผู้อำนวยการฝ่าย HPC, AI & CSP ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคของเลอโนโว อธิบายว่า "ระบบไฮบริดตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัย ความหน่วงต่ำ และความคล่องตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งาน AI"

การเลือกใช้ระบบไฮบริดในกลุ่มอาเซียนพลัสสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก (63%) แสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่มีความชัดเจนในการสร้างความปลอดภัยและตอบสนองความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้น

Gen AI ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

Generative AI (Gen AI) กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลงทุน โดยกว่า 42% ของงบลงทุน AI ในอาเซียนพลัสถูกใช้สำหรับการประยุกต์ใช้ Gen AI

ในเอเชียแปซิฟิค การลงทุน AI เพื่อปฏิบัติการด้านไอทีเป็นลำดับแรก ขณะที่อาเซียนพลัสโฟกัสไปที่การบริการลูกค้า ตามด้วยปฏิบัติการไอที และวิศวกรรม R&D

ความท้าทายด้าน AI PC และพาร์ทเนอร์

AI PC เริ่มได้รับความสนใจ โดย 43% ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคเห็นประสิทธิภาพชัดเจน แต่การนำมาใช้ยังอยู่ในระดับต่ำ ในอาเซียนพลัส 65% ของธุรกิจยังอยู่ในขั้นวางแผน

เรื่องพาร์ทเนอร์ด้านไอทีก็เป็นประเด็นสำคัญ โดย 44% ของ CIO ในอาเซียนพลัสมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI เพื่อจัดการปัญหาความซับซ้อนของข้อมูล การขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และข้อจำกัดด้านงบประมาณ

นายแมทธ์ คอดริงตัน (Matt Codrington) รองประธานและผู้จัดการทั่วไประดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคใหญ่ของเลอโนโว   กล่าวว่า "การนำ AI มาใช้ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว ธุรกิจต้องลงทุนในระบบที่วัดผลได้จริง ผู้ให้บริการ AI โซลูชันจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยธุรกิจใช้ AI ที่สร้างคุณค่าได้จริง"

การสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาด AI ในเอเชียแปซิฟิคกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงการเติบโตที่แท้จริง แม้จะยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องฝ่าฟัน แต่ทิศทางโดยรวมชี้ไปในแนวทางบวก โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยที่มีแผนชัดเจนในการเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค

ผลสำรวจล่าสุดจาก Lenovo's CIO Playbook 2025 ที่จัดทำร่วมกับ IDC โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและผู้ตัดสินใจด้านไอทีกว่า 2,900 คนจาก 12 ตลาดในเอเชียแปซิฟิค เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจหลายประการ

ผลสำรวจเลอโนโว พบธุรกิจกลุ่มอาเซียนพลัส ลงทุน AI เพิ่ม 2.7 เท่า ที่โดดเด่นที่สุดคือแผนการลงทุนด้าน AI ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคที่จะเพิ่มขึ้นถึง 3.3 เท่า ขณะที่กลุ่มอาเซียนพลัส ซึ่งรวมไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีแผนเพิ่มการลงทุน 2.7 เท่า

การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของผู้บริหาร ที่เริ่มมองเห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดลองเล่น แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่วัดได้จริง

ไทยเตรียมเป็นศูนย์กลาง AI ภูมิภาค

สำหรับประเทศไทย การเติบโตของการลงทุน AI นี้มาพร้อมกับความชัดเจนในนโยบายระดับชาติ ผ่านแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ พ.ศ. 2565-2570 ที่วางเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคอาเซียน

แผนดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AI การยกระดับทักษะแรงงาน ไปจนถึงการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่างๆ นำ AI มาใช้อย่างจริงจัง

ผลสำรวจเลอโนโว พบธุรกิจกลุ่มอาเซียนพลัส ลงทุน AI เพิ่ม 2.7 เท่า นายวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเลอโนโวประจำไทยและภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า "ไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค และธุรกิจไทยกำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลโดยเน้นการใช้ AI เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่วัดค่าได้และมีจริยธรรม"

อาเซียนพลัส อยู่ขั้นเริ่มต้นลงทุน AI 

แม้การลงทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การประยุกต์ใช้ AI ในกลุ่มอาเซียนพลัสยังอยู่ในระดับเริ่มต้น ผลสำรวจพบว่า 47% ของธุรกิจในกลุ่มนี้ยังอยู่ในขั้นประเมินหาการนำ AI มาใช้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียแปซิฟิค (56%) และทั่วโลก (49%)

อุปสรรคหลักที่ธุรกิจกังวลคือเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคคาดหวัง ROI เฉลี่ย 3.6 เท่าจากโปรเจ็กต์ AI ต่างๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างสูงและต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ

ในกลุ่มอาเซียนพลัส สิงคโปร์ยังคงเป็นผู้นำด้วยความพร้อมด้าน AI ที่ล้ำหน้าและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดอื่นๆ ยังเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ