KEY
POINTS
ในยุคที่คำว่า Digital Disruption กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ความท้าทายของภาคธุรกิจไม่ใช่เพียงแค่การเอาตัวรอด แต่คือการยกระดับตัวเองให้ก้าวสู่การเป็น ‘Digital First Company’ หรือองค์กรที่คิดและขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเป็นลำดับแรก ซึ่งหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังรวมถึง ‘คน’ ที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการหมุนระบบนิเวศธุรกิจรูปแบบใหม่นี้ให้เดินหน้าต่อไปได้
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ฉายภาพทิศทางธุรกิจไว้อย่างเฉียบคม โดยชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคที่ AI เป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน และกลุ่มคน Gen Z หรือ Digital Native กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลัก ทั้งในฐานะลูกค้าและกำลังคนในองค์กร
จากการที่บลูบิคได้คลุกคลีและทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำจำนวนมาก ผ่านการทำ Research & Development อย่างต่อเนื่อง ทำให้มองเห็น ‘Pattern’ ของความสำเร็จที่ตกผลึกออกมาเป็น 10 การลงทุนสำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ Digital First Company ดังนี้
1. Hyper-personalized Omnichannel: เจาะลึกระดับบุคคล ในเสี้ยววินาทีที่ใช่ หมดยุคของการหว่านแหทำตลาดแบบเหมารวม องค์กรต้องก้าวข้ามการแบ่งกลุ่มลูกค้าแบบเดิมๆ สู่ ‘Segment of One’ ที่มองลูกค้าแต่ละคนเป็นหนึ่งกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ การทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าต้องลึกซึ้งถึงระดับ ‘Micro Moment’ ผ่านการเก็บข้อมูลจาก IoT หรือกล้องวงจรปิด เพื่อวิเคราะห์ Customer Journey อย่างละเอียด และใช้ AI เป็นตัวช่วยสำคัญในการวางแผนนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงใจ ในเวลาที่ถูกต้อง และผ่านช่องทางที่ลูกค้าสะดวกที่สุด
2. Hybrid Automation: ผสานพลังเครื่องจักรและมนุษย์ แม้โลกจะมุ่งสู่ระบบอัตโนมัติ แต่ไม่ใช่ทุกงานที่ AI จะทำแทนได้ 100% โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนทางอารมณ์หรือการตัดสินใจที่ซับซ้อน การลงทุนในระบบ ‘Hybrid Automation’ จึงเป็นการใช้ระบบอัตโนมัติจัดการงาน Routine เพื่อปลดล็อกเวลาให้มนุษย์ได้ใช้ศักยภาพในการปฏิสัมพันธ์และจัดการงานเชิงกลยุทธ์ได้อย่างเต็มที่
4. Cloud Utilization: ความยืดหยุ่นคือกุญแจบริหารต้นทุน การลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่มาตั้งไว้อาจกลายเป็นภาระทางบัญชีและกระแสเงินสด การหันมาใช้บริการ Cloud ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับขยายหรือลดขนาดระบบไอทีได้ทันทีตามความผันผวนของธุรกิจ ลดความเสี่ยงจากการลงทุนสินทรัพย์ถาวรที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
5. DevSecOps: เร่งสปีดการพัฒนาบนพื้นฐานความปลอดภัย ในสมรภูมิธุรกิจที่วัดกันด้วยความเร็ว ตลาดต้องการโปรดักส์ที่พัฒนาต่อเนื่องและรวดเร็ว แนวคิด DevSecOps (Development + Security + Operations) จึงเข้ามามีบทบาทในการลดระยะเวลาการ Deploy ฟีเจอร์ใหม่ๆ จากหลักเดือนให้เหลือเพียงหลักวัน โดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยไว้ได้อย่างเข้มข้น
6. Partnership API: เชื่อมต่อไร้รอยต่อ สร้างโอกาสใหม่ การทำธุรกิจแบบโดดเดี่ยวไม่ใช่คำตอบ การบริหารจัดการ API ให้พร้อมเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ (Partnership API) คือการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ๆ ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างสรรค์บริการร่วมกัน เช่น การเชื่อมระบบกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อขยายฐานลูกค้าและบริการ
8. Hyper-scalability Modernization: ปรับโครงสร้างรองรับการโตไร้ขีดจำกัด ระบบไอทีต้องพร้อมรองรับอนาคต การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสามารถในการขยายตัวแบบ Hyper-scalability จะช่วยให้องค์กรรับมือกับปริมาณผู้ใช้งานหรือธุรกรรมที่อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ โดยระบบยังคงมีเสถียรภาพ ไม่ล่มสลายไปกับการเติบโตนั้น
9. Digital Trust: สร้างสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้แต่มีค่าที่สุด ในโลกออนไลน์ ‘ความเชื่อมั่น’ คือสกุลเงินที่มีค่าที่สุด การยกระดับมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และความปลอดภัยในการทำธุรกรรม คือการสร้าง Digital Trust ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืน
10. AI-powered Risk Management: บริหารความเสี่ยงด้วยปัญญาประดิษฐ์ ยกระดับกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ ตั้งแต่การระบุ ประเมิน ตรวจสอบ ไปจนถึงการจัดการ ด้วยการนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล เพื่อให้องค์กรสามารถมองเห็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และรับมือได้อย่างทันท่วงที
เจาะลึก ‘Gen Z’ ขุมพลังใหม่ ที่องค์กรต้อง ‘อ่าน’ ให้ออก
นอกเหนือจาก 10 บันไดเลื่อนด้านเทคโนโลยีแล้ว นายพชร ยังเน้นย้ำถึง 3 เสาหลักที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้สำเร็จ ได้แก่ 1. Digital Native Team 2. Dynamic Demand Ready และ 3. Light Speed Velocity ซึ่งเสาหลักแรกอย่างการสร้างทีม Digital Native นั้น นำมาสู่โจทย์สำคัญเรื่องศิลปะการบริหารคน Gen Z
คน Gen Z เติบโตมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ตและผ่านวิกฤตโควิด-19 พฤติกรรมของพวกเขาจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง พวกเขาค้นหาข้อมูลผ่าน Social Media มากกว่า Google เชื่อ Influencer มากกว่าแบรนด์ และมองว่าหน้าโปรไฟล์โซเชียลคือ ‘CV’ ของชีวิต การเสพติด Dopamine Hits จากยอดไลก์ทำให้พวกเขาชอบอะไรที่รวดเร็ว สั้น กระชับ และมีการตอบสนองทันที
ในมุมของการทำงาน คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และความยืดหยุ่นแบบ Hybrid Working อย่างมาก การบังคับเข้าออฟฟิศ 100% จึงไม่ตอบโจทย์ อีกทั้งพวกเขายังมีความเปราะบางทางอารมณ์จากภาวะข้อมูลท่วมท้นและการเปรียบเทียบในโลกโซเชียล ทำให้เกิดภาวะ Burnout ได้ง่าย
กลยุทธ์มัดใจ Gen Z เพื่อขับเคลื่อนองค์กร
ผู้บริหารยุคใหม่ต้องปรับตัวเป็น ‘Gen Z Translator’ หรือมีตัวช่วยในการสื่อสาร เพื่อลดช่องว่างระหว่างวัย การสั่งงานต้องสั้น กระชับ เน้นการแชทมากกว่าการโทร ใช้ Gamification เข้ามาสร้างความท้าทายในการทำงาน พร้อมให้รางวัลแบบ Instant Reward ที่พวกเขาสามารถนำไปแชร์ต่อในโซเชียลได้
การสร้างคุณค่าทางสังคม (Social Impact) เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญ คน Gen Z อยากทำงานที่มีความหมายและขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ดี นอกจากนี้ องค์กรต้องดูแลเรื่อง Wellness และ Mental Health อย่างจริงจัง พร้อมฉายภาพ Career Path ที่ชัดเจน เพราะคนรุ่นนี้พร้อมจะเปลี่ยนงานทันทีที่มองไม่เห็นอนาคต
สุดท้ายแล้ว การก้าวสู่ Digital First Company ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเทคโนโลยีมาติดตั้ง แต่คือการผสมผสานวิสัยทัศน์การลงทุนที่ถูกต้อง เข้ากับศิลปะการบริหารคนที่เข้าใจยุคสมัย โดยมีผู้นำองค์กรเป็นแบบอย่างที่เปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้และปรับตัว เพื่อพาธุรกิจก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่