KEY
POINTS
เดือนกันยายนที่ผ่านมา เกาหลีใต้ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้ระบบดิจิทัลภาครัฐสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อเกิดไฟไหม้ที่ศูนย์ข้อมูลของ National Information Resources Service (NIRS) ในเมืองแดจอน ซึ่งทำให้ข้อมูลสำคัญของภาครัฐสูญหายไปทั้งชุด
การเกิดเหตุการณ์นี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสำคัญของการสำรองและกู้คืนข้อมูล (Backup & Recovery) ที่หลายองค์กรทั่วโลกยังคงประสบปัญหาด้านการออกแบบระบบสำรองข้อมูล
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่า สาเหตุเบื้องต้นของไฟไหม้อาจมาจากการคายประจุของแบตเตอรี่ระหว่างการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ หรือความบกพร่องในการจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การออกแบบระบบสำรองข้อมูลที่ไม่ได้คำนึงถึงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในศูนย์ข้อมูล แม้ว่าระบบ G-Drive จะเป็นระบบสำคัญของภาครัฐ แต่กลับไม่มีการออกแบบมาตรการป้องกันและฟื้นฟู (disaster recovery) ที่เข้มงวดเพียงพอ
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นช่องโหว่ในระบบการสำรองข้อมูลที่หลายองค์กรทั่วโลกยังประสบปัญหา โดยเฉพาะในภาครัฐที่มักให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนและความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลมากกว่าความยืดหยุ่นและความต่อเนื่อง การเก็บข้อมูลสำรองในศูนย์เดียวกับข้อมูลหลักเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงสูงในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ เช่น ไฟไหม้หรือน้ำท่วม ซึ่งสามารถทำให้ข้อมูลทั้งชุดสูญหายได้อย่างสิ้นเชิง
กรณีของ G-Drive ยังทำให้เห็นถึงปัญหาที่สำคัญอื่นๆ ในการจัดการข้อมูล เช่น ขาดการทดสอบระบบกู้คืนข้อมูลจริง ซึ่งหลายองค์กรอาจมีการสำรองข้อมูลแต่ไม่เคยทดสอบการกู้คืนระบบอย่างเป็นทางการ เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง ระบบสำรองที่ไม่ได้รับการทดสอบก็ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดไว้
นอกจากนี้ยังมีการประเมินต้นทุนที่ผิดพลาดในการจัดการระบบสำรองข้อมูล โดยมักมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นสูงกว่าต้นทุนการสำรองข้อมูลหลายเท่า
การสำรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การคัดลอกไฟล์ไว้ในเครื่องอื่น แต่ต้องมีการออกแบบระบบที่สามารถทนทานต่อความล้มเหลวและสามารถกู้คืนข้อมูลได้จริงในทุกสถานการณ์ แนวคิดนี้เป็นหัวใจของ Resilient IT Infrastructure ที่ทุกองค์กรในยุคดิจิทัลต้องให้ความสำคัญ ซึ่งประกอบไปด้วยหลักการสำคัญหลายประการที่องค์กรทุกแห่งควรปฏิบัติ
ประการแรก คือ การสำรองข้อมูลในสถานที่ต่างพื้นที่ (Off-site Backup) หรือการใช้ศูนย์ข้อมูลที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอื่น เพื่อป้องกันการสูญหายจากภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน
ประการที่สอง คือ การใช้ระบบสำรองข้อมูลหลายชั้น (Multi-layer Redundancy) ซึ่งไม่ควรพึ่งพาการสำรองข้อมูลแค่รูปแบบเดียว แต่ควรมีทั้งการสำรองแบบเรียลไทม์ รายวัน รายสัปดาห์ และแบบออฟไลน์ เพื่อให้มีหลายจุดในการกู้คืนข้อมูล
ประการที่สาม คือ การทดสอบแผนการกู้คืนข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ (Disaster Recovery Testing) เพื่อให้มั่นใจว่า ระบบสำรองสามารถใช้งานได้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังมีการออกแบบระบบให้มีความทนทานตั้งแต่ต้น (Resiliency by Design) โดยการกระจายศูนย์ข้อมูล การใช้ระบบ failover อัตโนมัติ หรือการจำลองข้อมูลข้ามภูมิภาค (Geo-replication) เพื่อให้บริการไม่หยุดชะงักแม้ศูนย์ข้อมูลหลักจะล่มลง ส่วนสุดท้าย คือ การประเมินต้นทุนในมุมมองของความเสี่ยง (Risk-based Cost Assessment) การสำรองข้อมูลหลายชั้นอาจเพิ่มค่าใช้จ่าย แต่เมื่อคำนวณกับความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จะเห็นว่าการลงทุนในระบบสำรองข้อมูลนั้นคุ้มค่า
หลังจากเหตุการณ์ G-Drive หน่วยงานหลายแห่งเริ่มทบทวนแนวทางการจัดการข้อมูลของตนอย่างจริงจัง ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเริ่มต้นจากการตรวจสอบระบบสำรองข้อมูล (Backup Audit) การสร้างศูนย์ข้อมูลสำรอง (Disaster Recovery Center) การกำหนดมาตรฐานการกู้คืน (RTO/RPO) และการติดตามเทคโนโลยีสำรองข้อมูลใหม่ๆ เช่น ระบบสำรองแบบ Multi-region Cloud Backup และ Snapshot ที่ช่วยลดระยะเวลาในการกู้คืน
จากกรณีไฟไหม้ G-Drive ของเกาหลีใต้ เราควรตระหนักว่าในโลกดิจิทัล ข้อมูลไม่ใช่แค่ไฟล์ที่เก็บไว้ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจและสังคม การลงทุนในระบบ Backup & Recovery จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นภารกิจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับองค์กรและประเทศในยามวิกฤติ
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568