อ่านฉบับเต็ม ศาลฯ ยกฟ้อง เพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบ “ทรู-ดีแทค”

26 ก.ย. 2568 | 09:04 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.ย. 2568 | 09:27 น.

ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดีที่สภาองค์กรของผู้บริโภคฟ้องขอให้เพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวม "ทรู ดีแทค" ในการประชุม นัดพิเศษ

วันที่ 26 กันยายน 2568  ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง คดีที่สภาองค์กรของผู้บริโภคฟ้องขอให้เพิกถอนมติ กสทช. ในการประชุม นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/ 2565  ที่มีมติรับทราบการรวมธุรกิจของ "ทรู-ดีแทค"  คดีหมายเลขแดงที่ 2204/2568  ระหว่าง สภาองค์กรของผู้บริโภค ที่ 1 กับพวกรวม 5  คน ผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคนาคมแห่งชาติ ผู้ถูกฟองคดีที่ 2  บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (เดิม)) ผู้ร้องสอดที่ 1 บริษัท หลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ผู้ร้องสอดที่ 2  โดยผู้ฟ้องคดีทั้งห้าฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565  เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ระเบียบวาระที่ 5.1 รับทราบการรมรรกิจของ ผู้ร้องสอดที่ 1  เมื่อครั้งเป็นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ทรู) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ดีแทค) และ กำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ปฏิบัติ  กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549  โดยมีมติไม่อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทค และเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งตั้ง ผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นที่ปรึกษาอิสระ

 

 

ศาลปกครองกลางมีคำวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้ร้องสอดที่ 2 ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ได้รับการแต่งตั้งจนถึงวันที่จัดทำความเห็นประกอบการรายงานฯ แล้วเสร็จ ไม่ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นของ ผู้ร้องสอดที่ 2  เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ทรู หรือบริษัท ดีแทค หรือบริษัทในกลุ่มหรือในเครือของทั้งสองบริษัท และไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับทั้งสองบริษัทดังกล่าวในลักษณะที่อาจเป็นการขัดขวางการใช้วิจารณญาณอย่างอิสระในการให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทค ตามข้อ 2.2. และข้อ 2.4  ของภาคผนวกท้ายประกาศ กลทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ทั้งไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องสอดที่ 2  มีลักษณะต้องห้ามในข้ออื่น ๆ ของภาคผนวกท้ายประกาศดังกล่าว การแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระจึงชอบด้วยข้อ 10 วรรคลอง ของประกาศเดียวกัน และโดยที่ประกาศมิได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ หรือ รับฟังรายงานจากที่ปรึกษาอื่น ๆ ก่อน อีกทั้ง มติพิพาทมีผลผูกพันบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทด เป็นการเฉพาะราย ไม่ใช่ การออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง เกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคนาคมที่มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงไม่จำต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือประชาชนทั่วไป ตามมาตรา 28 แห่ง พรบ.องค์กรจัดธรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553  และตามกฎหมายอื่น เมื่อได้รับรายงาน ตามมาตรา 28 แห่ง พรบ.องค์กรจัดธรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553  และตามกฎหมายอื่น เมื่อได้รับรายงานความเห็นฯ ของผู้ร้องสอดที่ 2 แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการรวมธุรกิจของความเห็นฯ ของผู้ร้องสอดที่ 2 แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการรวมธุรกิจของ

 

 ศาลฯ ยกฟ้อง คดีสภาผู้บริโภคเพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวม “ทรู-ดีแทค”

 ศาลฯ ยกฟ้อง คดีสภาผู้บริโภคเพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวม “ทรู-ดีแทค”

 

ผู้ร้องสอดที่ 1 ปรากฏว่า กรรมการผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จำนวน 2  คน เห็นว่า การรวมธุรกิจในกรณีนี้ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน ตามข้อ 8  ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้ มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดฯ โดยนัยของผลตามข้อ 9 ของประกาศ กลทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจฯ โดยรับทราบการรวมธุรกิจ และมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะตามข้อ 12  ของประกาศ กลทช. ดังกล่าว และกรรมการจำนวน 2  คน เห็นว่า กรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการ ประเภทเดียวกัน และให้พิจารณาดำเนินการตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดฯ โดยอาจสั่งห้ามการถือครองกิจการหรือกำหนหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด 4  ของประกาศ กทช. ดังกล่าว โดยมีกรรมการงดออกเสียง 1คน เป็นกรณีที่ประชมมีคะแนนเสียงเท่ากัน คือ 2 ต่อ 2  เสียง (งดออกเสียง 1 คน) จากจำนวนกรรมการที่มีอยู่ทั้งหมด 5  คน จึงต้องบังคับตามข้อ 4 วรรคสาม ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ โดยประธาน กลทช. ออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทำให้การลงมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีเสียงของผู้ที่เห็นว่า การรวมธุรกิจในกรณีนี้ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน มีจำนวน 3  เสียง ซึ่งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน กรรมการทั้งหมด ดังนั้น การที่ประธาน กสทช. ออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาดในการลงมติพิพาท จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยข้อ 41 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสาม ของระเบียบ กลทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ แล้ว และเนื่องจากการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตรายอื่นเกิดเป็นนิติบุคคลใหม่ แตกต่างกับการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน โดยการเข้าซื้อหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสิบ หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบายหรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่นที่จะต้องมีการขออนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติรับทราบ การรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดที่ 1 โดยกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ปฏิบัติ จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง.