ลิเดีย ลีอง รองประธานนักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทำให้ความกังวลต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการคลาวด์ทวีความรุนแรงขึ้น และถูกหยิบยกมาหารือใหม่ในระดับผู้บริหารอีกครั้ง
ที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ยอมรับความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ในระดับไฮเปอร์สเกล อาทิ การผูกขาดผู้จำหน่าย (Vendor Lock-In) การสูญเสียอำนาจต่อรอง (Loss of Negotiation Power) หรือแม้แต่ความเสียหายจากเหตุหยุดชะงักครั้งใหญ่ เช่นกรณี Crowdstrike ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีก่อน โดยมองว่าความเสี่ยงเหล่านี้เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับนวัตกรรมและความคล่องตัวของคลาวด์ที่สามารถขยายตัวได้อย่างยืดหยุ่น
ประเมินการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์อย่างรอบด้าน
องค์กรควรเริ่มต้นด้วยการทำ Mapping การพึ่งพาครั้งใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการคลาวด์โดยตรง แต่รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่พึ่งพาคลาวด์ เช่น โซลูชันด้านความปลอดภัยที่อิงข้อมูลภัยคุกคามจากคลาวด์ อุปกรณ์เครือข่าย อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) หรือแม้แต่ฮาร์ดแวร์ที่บริหารจัดการผ่านระบบคลาวด์
นอกจากนี้ ควรประเมินตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของผู้ให้บริการ เช่น สำนักงานใหญ่ เขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง และแหล่งให้บริการ เพื่อตรวจสอบว่าระบบใดขององค์กรอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางการเมืองหรือกฎหมายจากประเทศที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง
ลีอง ระบุว่า ถึงแม้หลายองค์กรจะซื้อความสามารถระบบคลาวด์ล้นเกินความจำเป็น แต่ในทางปฏิบัติมักไม่มีทางเลือกอื่น โดยเฉพาะในกรณีของเวิร์กโหลดที่สำคัญ ซึ่งอาจไม่สามารถถ่ายโอนไปยังระบบอื่นได้ง่าย
ทางเลือกหนึ่งคือการใช้ “อธิปไตยคลาวด์” (Sovereign Cloud) ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรในประเทศ หรือการทำ “Geopatriation” เพื่อโยกย้ายข้อมูลและระบบจากผู้ให้บริการต่างชาติ ไปยังผู้ให้บริการที่อยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า รวมถึงพิจารณาการเลิกพึ่งพาคลาวด์บางส่วน
ทั้งนี้ ทุกการตัดสินใจไม่ควรจำกัดอยู่แค่เชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ต้องมีการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านความเสี่ยงขององค์กร เพื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงใดที่องค์กรสามารถยอมรับได้ และมีผลต่อความยืดหยุ่นโดยรวมอย่างไร
วางแผนฉุกเฉินตามสถานการณ์เฉพาะหน้า
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกัน และไม่ได้ส่งผลกระทบในระดับเท่ากัน การ์ทเนอร์แนะนำให้มีการจัดทำ “แผนสถานการณ์เฉพาะ” เพื่อรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ความผันผวนของราคาคลาวด์จากเงินเฟ้อ การหยุดชะงักจากสงครามการค้า หรือแม้แต่การปิดพรมแดน
แผนเหล่านี้ควรพิจารณาเรื่องเขตอำนาจศาล ระยะเวลาในการเข้าถึงข้อมูล ข้อจำกัดตามสัญญา การสนับสนุนจากผู้ให้บริการ และงบประมาณสำรองที่เพียงพอ เพราะตามข้อมูลของการ์ทเนอร์ องค์กรมักใช้เวลาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2 ปีในการโยกย้ายโซลูชันคลาวด์ได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้สถานการณ์ปกติ
องค์กรที่ต้องการลดความเสี่ยงจากระบบคลาวด์ในอนาคต จึงควรหลีกเลี่ยงการเพิ่มเวิร์กโหลดใหม่บนแพลตฟอร์มที่มีปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และหันมาใช้แนวทางเชิงรุกในการประเมินและวางแผนสำรองเพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันในสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นจากความปั่นป่วนของโลกในยุคใหม่