จากกรณีที่เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยพระราชกำหนดทั้ง 2 ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป (13 เมษายน 2568)
ล่าสุดวันนี้ 21 เมษายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ดีอี เปิดเผยว่า หลังจาก พ.ร.ก.กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการขั้นตอนหลังจากนี้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ แบงก์ชาติ สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ แพลตฟอร์มเพื่อกำหนดเป็นมาตรฐานในการเปิดบัญชีธนาคาร จากเดิมใครมีหลักฐานครบสามารถเปิดบัญชีได้ส่วนแนวทางใหม่เข้มงวดการเปิดบัญชีทั้งนิติบุคคล และ บุคคลธรรมดา ส่วนการคืนเงินจากการถูกหลอกลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากเดิมให้ไปร้องเรียนที่ศาลฯจะดำเนินการตัดสินคืนวงเงินเสียหายให้กับผู้ที่ถูกหลอกลวง แต่ พ.ร.ก.ฯใหม่กำหนดให้ไปที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) แทน
นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ยกระดับศูนย์ AOC 1441 : เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย “ศปอท.” เป็นกลไกหลักในการรับแจ้งเหตุ รับคำร้องทุกข์ สั่งระงับธุรกรรมทางการเงิน ประสานงานวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถดำเนินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ครบวงจร และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ติดตามเส้นทางการเงินเพื่อนำมาคืนผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 สารสำคัญดังนี้
แก้ไขนิยามและขอบเขต
2.กำหนดให้ ก.ล.ต. เป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลัก
3.กำหนดหน้าที่หน่วยงานกำกับดูแล
4.มาตรการระงับบริการโทรคมนาคม
5.อำนาจปิดกั้นข้อมูล
6.การคืนเงินผู้เสียหาย
7.ยกระดับศูนย์ AOC เป็น ศปอท.
8.การร่วมรับผิดในความเสียหาย
9.บทกำหนดโทษ