zero-carbon

เปิดวิสัยทัศน์ ผอ. สถาบันยานยนต์คนใหม่ปรับกลยุทธ์หนุน "Net Zero"

เปิดวิสัยทัศน์ ผอ. สถาบันยานยนต์คนใหม่ปรับกลยุทธ์หนุน "Net Zero" มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ตามยุทธศาสตร์ 3 RIBBONS STRATEGY

นายเกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ (สยย.) เปิดเผยว่า จะดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบ (reshape) ปฏิรูปงานบริการของ สยย. พร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบ Business Model เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน สยย. มีการให้บริการหลัก ได้แก่ บริการทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ตามมาตรฐาน บริการตรวจการทำผลิตภัณฑ์ (IB) และ Free Zone 
เขตปลอดอากร บริการฝึกอบรม 

รวมถึงบริการข้อมูลศูนย์สารสนเทศยานยนต์ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ พร้อมจัดทำงานวิจัย เพื่อเสนอแนะชี้นำ และเตือนภัย เพื่อสนับสนุนการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะมีแนวทางการดำเนินงานใหม่ด้วยยุทธศาสตร์ “3 RIBBONS STRATEGY” หรือยุทธศาสตร์โบว์ 3 สี ฟ้า เขียว ขาว

  • BLUE OCEAN การสร้างนวัตกรรม 

(2023 -2030) จะมีการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ และเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ พร้อมขับเคลื่อน สยย. ด้วยการทำการตลาดเชิงรุก พัฒนาให้ สยย. เป็นผู้ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Service) ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างครบวงจร อาทิ มาตรฐานบังคับ (มอก.) มาตรฐานกรมขนส่ง  ASEAN MRA และมาตรฐานตามข้อตกลง 1958 Agreement ของสมาชิก 48 ประเทศ เป็นต้น 

เพื่อยกระดับการทดสอบของ สยย. ให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับในสากล ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการส่งออกยานยนต์ไทยตามนโยบายการเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งอนาคต เปิดบริการให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาธุรกิจ สร้างนวัตกรรม ด้านวิศวกรรม โดยผู้เชี่ยวชาญ เสริมสร้างความพร้อมด้านการทดสอบด้วยศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ 

เปิดวิสัยทัศน์ ผอ. สถาบันยานยนต์คนใหม่ปรับกลยุทธ์หนุน Net Zero และชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ สู่การเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์ตามยุทธศาสตร์ของประเทศ ทำให้ไทยเป็นผู้นำและเป็นศูนย์กลางการทดสอบและรับรองในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการทดสอบเพื่อความสอดคล้องในกระบวนการผลิต การส่งเสริมตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Aftermarket)  พร้อมขยายพันธมิตรทางธุรกิจให้เพิ่มขึ้น

  • GREEN GROWTH การสร้างความยั่งยืน

(2023 -2030) เตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการทดสอบการปล่อยสารมลพิษจากเครื่องยนต์ตามมาตรฐานยูโร 5 และ 6 เพื่อลดปัญหาการปล่อยมลพิษทางอากาศฝุ่น PM ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของโลกที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ ซึ่งขณะนี้ สยย. ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องมือทดสอบ พร้อมให้บริการเป็นที่เรียบร้อย  รวมถึงการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า 

โดย สยย. มีศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรที่สุดในอาเซียน ตามมาตรฐาน UNECE R100  สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและ UNECE R136  สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสามารถทดสอบเพื่อการวิจัยและพัฒนาในการปรับปรุงสมรรถนะของแบตเตอรี่ได้อีกด้วย ซึ่งมีโครงการชื่อ แบตฯดี มีคืนเป็นโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า จะได้รับคืนเงินค่าบริการทดสอบ 10%  เมื่อมาทดสอบกับ สยย. และผ่านมาตรฐาน มอก.3026-2563 หรือ มอก.2952-2536 ภายในเดือน มี.ค. – ธ.ค. นี้ 
 

นอกจากนี้ สยย. ยังสนับสนุนนโยบาย ZEV การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ มุ่งเน้นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน Net Zero รวมถึงการลดหรือกักเก็บปริมาณก๊าซเรือนกระจกไว้ไม่ปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมมุ่งสู่การทำธุรกิจที่ยั่งยืน และจะเพิ่มเติมการทำกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ การรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัย เป็นต้น

  • WHITE SPIRIT การสร้างความน่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาล

(2023 -2030)  การปรับเปลี่ยนวิถีการบริหาร การจัดการควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆ ของ สยย. ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และมุ่งเน้นประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยปรับกระบวนการทำงานมุ่งสู่ความเป็นเลิศในด้านการปฎิบัติการ การบริหารจัดการองค์กรด้วยแนวคิด Smart  Strong และ Slim  

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ความท้าทายของการบริหารงาน สยย. ในยุคนี้ คือการปรับการทำงานของ สยย. ให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สร้างโมเดลของธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และการพัฒนาทักษะเดิม พร้อมเสริมสร้างทักษะใหม่ให้แก่บุคลากรภายใน สยย. รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร 

และเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการปั้นสถาบันยานยนต์ให้มีความพร้อม เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศ ในการทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มีความสมบูรณ์ในทุกมิติ เพื่อผลักดันประเทศไทยในก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาคเติบโตและเข้มแข็งอย่างมีศักยภาพรับมือกับการเปลี่ยนแปลง 

"ด้วยศักยภาพของ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 11 ของโลก และเป็นใหญ่เป็นลำดับที่ 1 ของภาคพื้นอาเซียน และศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่สามารถทดสอบได้ตามมาตรฐานครบวงจรและนี่เรียกได้ว่าเป็นการพลิกโฉมสู่ยานยนต์แห่งอนาคตอีกหนึ่งบทบาทก็ว่าได้"

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเข้ามาของเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตตามนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ภายในปี ค.ศ. 2030 เป็นกลไกที่จะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ 

ซึ่งในปี ค.ศ. 2023 มีการประมาณการตัวเลขการผลิตรถยนต์ในประเทศอยูที่ 1,950,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 2022 ถึง 3.53% โดยแบ่งเป็น

การผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน และคาดการณ์ว่าภายใน ปี ค.ศ. 2030 ประเทศไทยการผลิตรถยนต์ที่ 2.4 ล้านคัน แบ่งเป็นรถ ZEV จำนวน 725,000 คัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2023 – 2030 ประเทศไทยจะมีอัตราการเจริญเติบโต 3.5% ต่อปี ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทในการเป็นฐานการส่งออกเพิ่มมากขึ้น