"สิงห์ เอสเตท" เดินแผน 10 ปีสู่องค์กรคาร์บอนตํ่า ลดปล่อยปีละ 2%

27 ม.ค. 2566 | 10:22 น.

“สิงห์ เอสเตท” ยึดเป้าหมาย SDGs เดินหน้าสู่องค์กร Carbon Neutrality 2030 ลดคาร์บอนตลอดซัพพลายเชน พร้อมรักษาสมดุลระบบนิเวศ สร้างความหลากหลายทางชีวภาพในทุกพื้นที่ที่ธุรกิจตั้งอยู่

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า สิงห์ เอสเตท มีพันธกิจองค์กรเน้นสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทตั้งเป้าสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ( Carbon Neutrality) ภายในปีค.ศ. 2030 ลดปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมทางธุรกิจตลอดซัพพลายเชน (supply chain)

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในทุกพื้นที่ ๆ ธุรกิจตั้งอยู่ โดย สิงห์ เอสเตท ได้จัดทำแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืน 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568)

สิงห์ เอสเตท ได้มีการเก็บข้อมูลคาร์บอนองค์กรในช่วงที่ผ่านมา และตั้งเป้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนตํ่า รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน หรือการปลูกป่าให้ได้มากที่สุด รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ และส่งต่อความรู้ในการช่วยกันลดคาร์บอนให้กับคนในเมืองผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

ชดเชยคาร์บอนเครดิต

นางสาวศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตั้งเป้าองค์กร Carbon Neutrality 2030 จะดูว่าตัวเองปล่อยคาร์บอนเท่าไร จะพยายามลดให้ได้มากที่สุด และส่วนที่เหลือจะชดเชยไปในรูปแบบของคาร์บอนเครดิต พร้อมกับการทำเรื่องการปลูกป่า ทำพื้นที่ดูดซับคาร์บอนที่สิงห์ปาร์คในพื้นที่ 1 ล้านตารางเมตร ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ จะสร้างโครงการรวมเป็นพื้นที่ 1 ล้านตารางเมตร โดยพยายามให้แน่ใจว่า ทุกครั้งที่ก่อสร้าง จะสร้างพื้นที่ดูดซับคาร์บอนให้เท่า ๆ กัน ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสิงห์ เอสเตท ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 ไปจนถึง พ.ศ.2573

นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีในการสำรวจติดตามการเจริญเติบโตของต้นไม้ และปริมาณการดูดซับคาร์บอน จากทางไทยคมมาช่วยตลอดระยะเวลาโครงการ สยามคูโบต้า ที่ให้นวัตกรรมเข้ามาช่วยให้การปลูกป่าจำนวนมากได้เร็วขึ้น รวมถึงหน่วยงานราชการจากจังหวัดเชียงราย และชุมชนในพื้นที่ โดยตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากที่สุด อย่างน้อยคือต้องเพิ่มให้ได้เท่ากับพื้นที่ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท หรือไม่น้อยกว่า 1 ล้านตารางเมตรในระยะเวลา 10 ปี

"สิงห์ เอสเตท" เดินแผน 10 ปีสู่องค์กรคาร์บอนตํ่า ลดปล่อยปีละ 2%

ลดคาร์บอนปีละ 2%

อีกทั้ง การหาแนวทางลดคาร์บอนให้ได้มากที่สุด เพราะสิงห์ เอสเตทไม่สามารถปลูกป่าได้เท่ากับที่ปล่อยคาร์บอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงาน Circular Economy และ Green Supply Chain ที่พยายามเปลี่ยนแหล่งพลังงานหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งปี 2565 ได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปของ 3 โรงแรมก่อน ได้แก่ โรงแรมสันติบุรี สมุย, โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ซึ่งทุกโครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกปี 2566

“บริษัทมีเป้าหมายในการลดคาร์บอนลงปีละ 2% เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายการลดคาร์บอนลง 20% ภายในปี 2030 ตาม Paris Agreement”

ขณะที่การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นทาง อ้อมด้านอื่นๆ หรือ สโคป 3 ในปี 2566 จะเป็นปีแรกที่ สิงห์ เอสเตท เก็บข้อมูลทั้งหมด เพื่อทำการประเมินแผน 10 ปี ดูว่าตรงไหนคือส่วนที่ลดได้ หรือถ้าลดไม่ได้ โดยจะใช้ความร่วมมือกับทุกๆ ส่วนมาช่วยกันคิด ซึ่งปัจจุบันใช้ค่ามาตรฐานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.(TGO) มาดำเนินงาน

ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ

อีกเรื่องที่สำคัญ สิงห์ เอสเตทจะเดินหน้าเต็มที่ในปีนี้ คือการดูแลเรื่องการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) ด้วยการกำหนดว่า ในแต่ละพื้นที่ธุรกิจมีสัตว์หรือพืชประเภทไหนที่เป็นพืชท้องถิ่น หรือสัตว์สำคัญของพื้นที่ และหาวิธีทำให้สัตว์และพืชเหล่านั้นสามารถอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีทางธรรมชาติ แต่ละโครงการ จะมีการทำงานร่วมกันกับมูลนิธิโลกสีเขียว และชุมชนโดยรอบ เพื่อสร้างและรักษาความสมบูรณ์ทางธรรมชาติไว้

จัดซื้อจัดจ้างสีเขียว

อีกทั้งยังทำเรื่อง “การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว” (Green Procurement หรือ Green Purchasing) โดยวัสดุที่เลือกใช้ในแต่ละโครงการ จะเลือกใช้วัสดุที่เป็นสิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด และยังร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy in Construction Industry (CECI) นำโดยเอสซีจี เพื่อเลือกใช้วัสดุที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด

นอกจากนี้ ยังแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการและการลดเศษวัสดุในอุตสาหกรรมก่อสร้างตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การเลือกใช้วัสดุ ต้องรู้ตั้งแต่เริ่มใช้ไปจนถึงเลิกใช้ว่าสุดท้ายแล้วมันไปไหน ไม้ได้มาจากป่าแบบไหน

นางสาวศิริธร กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การลดคาร์บอน ไม่มีบริษัทไหนที่ลดได้ 100% แน่นอน แต่ทุกคนพยายามจะลดให้ได้มากที่สุด ที่เหลือก็ชดเชยด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต ถือเป็นแนวทางการกระตุ้นให้ทุกคนช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และการคิดนวัตกรรมต่อเนื่อง และยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนซึ่งเป็นคนดูแลไม้ใหญ่ได้ด้วย

สำหรับ ช่วง 5 ปี(2565-2569) สิงห์ เอสเตท จะใช้งบลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันการเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี ซึ่งปี 2565 ตั้งงบ 11,000 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจที่พักอาศัย 60% คิดเป็นมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท งบลงทุนในโครงการ 2,000 กว่าล้านบาท ธุรกิจโรงแรม ลงทุน1,500 ล้านบาท เน้นพัฒนาโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว เพื่อความสามารถในการทำกำไรจากโรงแรมในอังกฤษ หรือในฟิจิ ธุรกิจอาคารสำนักงานใช้งบ 1,000 ล้านบาท และนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จ.อ่างทอง ใช้งบลงทุน 1,500 ล้านบาท